ขณะที่รายได้จากบริการสาธารณูปโภคยังเติบโตได้ดี ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 825 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 58 และยังเตรียมที่ดินไว้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 หากมีการเปิดให้ขอสัมปทานรอบใหม่ อีกทั้งบริษัทยังมองหาซื้อที่ดินเพิ่มขนาดประมาณ 1,200-1,500 ไร่ เพื่อรองรับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม พร้อมกับเจรจาที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อพิจารณาแนวทางการระดมทุนที่เหมาะสม
*เริ่มเห็นสัญญาณลูกค้ากลับมาใน H2/57
นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ NNCL เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า คาดรายได้รวมปีนี้น่าจะต่ำกว่าปี 56 ที่มีรายได้ราว 1,400 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรกยอดขายที่ดินลดลงมาก แต่เชื่อว่าครึ่งหลังน่าจะสรุปการเจรจาเพิ่มเติมได้บ้าง โดยเมื่อ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีนักลงทุนรายใหญ่ 2 รายเข้ามาดูที่ดินใน จ.ปทุมธานี รายละประมาณ 30-50 ไร่ คิดเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสัปดาห์หน้าก็มีลูกค้านัดดูที่ดินต่อเนื่อง
"หลังจากที่ได้มีการพิจารณาของ BOI เริ่มไป ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้เห็นลูกค้ากลับมาพอสมควรเป็นสัญญาณที่ดินเพราะเงียบไป 8-9 เดือน ตอนนี้ลูกค้าขนาดใหญ่ของไทยเข้ามาหลายราย ญี่ปุ่นเริ่มมาดู แต่เท่าที่คุยโดยรวมญี่ปุ่นยังไม่ได้แน่ใจ 100% แค่ดีขึ้น เขาเป็นห่วงเรื่องแนวโน้มการเมืองจะโอเคมั้ย แต่โดยรวมเป็นสัญญาณดีมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาดูที่ปทุมธานีคาดว่าจะสรุปได้ภายในไม่กี่เดือนนี้ ส่วนที่โคราชมีลูกค้ามาดูเป็นอุตฯด้านโลหะและกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เชื่อว่าครึ่งหลังดีกว่าครึ่งแรกแน่นอน"นายนิพิฐ กล่าว
ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2/57 คาดว่าจะยังขาดทุน แต่ลดลงจากไตรมาส 1/57 ที่ขาดทุน 13 ล้านบาท เพราะไม่มีรายได้จากการขายที่ดินเข้ามาเลย เนื่องจากลูกค้าเพิ่งเริ่มกลับมาเจรจาช่วงปลายเดือน มิ.ย.-ต้นเดือน ก.ค.ดังนั้น ผลประกอบการคงจะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 3-4/57 และอาจจะเห็นดีขึ้นมากในปี 58
"2 ไตรมาสแรกขายได้น้อย ขายได้เฉพาะลูกค้าภายใน ต้องดู 2 ไตรมาสหลัง-ครึ่งปีหลัง เพราะตอนนี้เริ่มมีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อที่ดินแต่กว่าจะตกลงกันและกว่าจะรับรู้รายได้คงปลายไตรมาส 4 หรือต้นไตรมาส 1 ปีหน้า ต้องมองข้ามปีไปตอนนี้ที่จะมารับรู้รายได้ปีนี้คงลำบากพอสมควร" นายนิพิฐ กล่าว
บริษัทมีนิคมอุตสาหกรรม 2 แห่ง คือ นิคมฯ นวนคร จ.ปทุมธานี และ นิคมฯ นวนคร จ.นครราชสีมา โดยนิคมฯ ที่ปทุมธานีปีนี้คาดว่าจะขายได้ 100 ไร่ หรืออย่างน้อย 60-70 ไร่ขึ้นไป ซึ่งราคาตั้งแต่ไร่ละ 5-12 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าใหม่ ขณะที่ลูกค้าเดิมก็ยังขยายการลงทุนบ้าง ขณะที่นครราชสีมามีการเจรจาพื้นที่ใหญ่ๆ หลายแห่ง แต่ต้องหยุดชะงักไป ซึ่งขณะนี้เริ่มกลับมาเจรจากันใหม่ ราคาไร่ละตั้งแต่ 1.6 ล้านบาทไปถึง 2 ล้านบาท
แม้ว่ายอดขายที่ดินในปีนี้อาจจะต่ำกว่าปี 56 ที่มียอดขาย 700-800 ล้านบาท แต่รายได้จากสาธารณูปโภคปีนี้ไม่ลดลง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างมองหาซื้อที่ดินเพิ่ม 1,200-1,500 ไร่ขึ้นไป เพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต เพราะขณะที่นิคมฯที่นครราชสีมาเหลือ 800 ไร่ และนิคมฯ ที่ปทุมธานี 300 ไร่ โดยนิคมที่นครราชสีมาอาจจะขยายพื้นที่เพิ่มอีกไม่เกิน 1,000 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยบริษัทอยู่ระหว่างหารือแนวทางระดมทุนในอนาคตที่เหมาะสม
"นิคมฯ แห่งที่ 3 ให้ทีมทำการศึกษาอยู่เริ่มไปดูหลายแห่งคงมาสรุปเร็วๆนี้จากเดิมมอง จ.ปราจีนบุรี แต่ตอนนนี้คงเปลี่ยนใจเพราะมีหลายเจ้าแล้ว จึงหันมาดูแถบ จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทราแทน ราคาไม่ได้เปลี่ยนจากที่เจรจาไว้เดิมและเชื่อว่าคู่แข่งก็ไม่ได้มากเพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี"นายนิพิฐ กล่าว
*เตรียมพื้นที่รอขึ้นโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2
นายนิพิฐ กล่าวว่า รายได้จากบริการสาธารณูปโภคในปีนี้ยังคงเติบโตได้ดี และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต หลังจากบริษัทใช้เงินลงทุนในปีนี้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่นิคมฯ ปทุมธานี มูลค่าโครงการราว 5,800-6,000 ล้านบาท เป็นส่วนทุนประมาณ 1 ใน 4 เป็นการร่วมทุนกับ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี(RATCH)ถือหุ้น 40% บริษัทลูกของบมจ.ปตท.(PTT)คือ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ถือหุ้น 30% และ NNCL ถือหุ้น 30%
โรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นเป็นโรงไฟฟ้าโคเจเนอเรชั่น ขนาด 825 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 59 โดย NNCL จ่ายเงินลงทุนไปแล้วกว่า 300 กว่าล้านบาท ที่เหลือคงจ่ายอีกไม่มาก และน่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงปลายปี 58 หรือต้นปี 59
นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 ในพื้นที่เดียวกัน แต่ต้องรอทางภาครัฐเปิดให้ขอสัมปทานรอบใหม่
"มีการ plan เป็นโรงที่ 2 ด้วยเพราะพื้นที่เตรียมไว้ 2 โรงต้องรอเปิดสัมปทานอีกที เป็นลักษณะร่วมทุน เฟสแรกเจรจากับลูกค้าภายในนิคมฯไว้เรียบร้อยแล้วทั้งลูกค้าจีนด้วย เริ่มจำหน่ายไฟได้ปลายปี 58 สัญญาขายไฟ RATCH เป็นผู้กำหนด"นายนิพิฐ กล่าว
ปกติสัดส่วนรายได้จากบริหารสาธารณูปโภคอยู่ที่ 50% และสัดส่วนรายได้ปกติจากการขายที่ดิน 50% แต่เมื่อในปีนี้ขายที่ดินได้น้อย สัดส่วนรายได้ค่าบริการก็จะเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ และรายได้จากไฟฟ้าจะเข้ามาต้นปี 59 แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างเสร็จก่อนกำหนดและเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปลายปี 58