เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้เข้าไปถือหุ้นจำนวน 4.92% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาทในอิโตชู ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดเมื่อการซื้อขายหุ้นเสร็จเรียบร้อย ส่วนอิโตชูได้เข้ามาถือหุ้นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์คือบริษัท ซี.พี.โภคภัณฑ์ จำกัด(CPP)ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงจำนวน 25% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 27,200 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจและสังคมไปทั่วโลก
ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ อิโตชู จะร่วมกันพัฒนาและหาโอกาสในการขยายธุรกิจด้านอาหาร เคมีภัณฑ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน และอุตสาหกรรมครบวงจรอีกหลากหลายประเภท รวมทั้งจะส่งเสริมธุรกิจด้านอาหารสัตว์ ปศุสัตว์ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล รวมทั้งการพัฒนาระบบการจัดซื้อ การขนส่ง การขาย และการพัฒนาตลาดใหม่
นายธนินท์ กล่าวในพิธีลงนามความร่วมมือโดยสรุปว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับอิโตชูซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง และยังเชื่อมั่นในความเก่งของนักธุรกิจญี่ปุ่น ซึ่งหลายคนลืมไปว่านักธุรกิจญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2
สำหรับอิโตชูนั้นเป็นบริษัทการค้าชั้นนำมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่ายอดขาย ณ สิ้นงวดบัญชี มีนาคม 2557 ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ อิโตชูเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการทำการค้ากับทั่วโลกและมีฐานะการเงินมั่นคง ทำการค้าแบบครบวงจร ทั้งค้าปลีก ค้าส่ง โลจิสติกส์ และยังเป็นเจ้าของธุรกิจ Family Mart ร้านสะดวกซื้อใหญ่อันดับ2 ของโลก ส่วนในด้านเกษตรนั้นอิโตชูเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)ของญี่ปุ่นให้เติบโต
นายธนินท์ กล่าวย้ำว่า การร่วมมือของเครือเจริญโภคภัณฑ์และอิโตชูในครั้งนี้จะนำองค์ความรู้และประสบการณ์ของธุรกิจขนาดใหญ่มาช่วยพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ให้เติบโตและเข้มแข็ง ซึ่งจะเป็นรากฐานของความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศทั่วโลก สอดคล้องกับนโยบาย “3 ประโยชน์" ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งหมายถึงการลงทุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์จะต้องก่อให้ประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และบริษัท