นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด PTT กล่าวว่า การขายโรงกลั่นทั้ง 2 แห่งออกไปเพื่อให้ภาพของ ปตท. ลดการผูกขาด ส่วนการแยกท่อก๊าซ โดยจะมี Regulator เข้ามากำกับดูแล และกำหนดค่าผ่านท่อเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และให้ความเป็นธรรมกับผู้ใช้ทุกฝ่ายแท้จริง
"การขายหุ้นโรงกลั่นทั้ง 2 แห่งได้เสนอกระทรวงแล้ว คิดว่าไม่น่าจะใช้เวลานาน ตลาดหลักทรัพย์ฯก็ยังดูดี ส่วนเรื่องแยกธุรกิจท่อก๊าซยังต้องดูรายละเอียด ทั้งนี้กำหนดให้เสร็จเรียบร้อยก่อนการเลือกตั้ง"ประธานกรรมการ PTT กล่าวภายหลังการประชุมเช้านี้
ทั้งนี้ ปตท.จะขายหุ้น SPRC ทั้งหมดจากที่ปัจจุบันถืออยู่ในสัดส่วน 36% จากเดิมที่ปตท.ขายหุ้นออกหมดไม่ได้ ทั้งนี้การขายโรงกลั่น SPRC และ BCP จะไม่มีผลตอ่ PTT แต่อย่างใด เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้ทำธุรกิจเอื้อกันเหมือนกับกรณีของโรงกลั่น บมจ.ไทยออยล์(TOP) และโรงกลั่นของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมีคัล(PTTGC)
"การขายออกไป ให้สบายใจได้ว่า ปตท. ไม่ได้มีการผูกขาด...ผู้ถือหุ้นจะได้ประโยชน์ในระยะยาว สังคมมีข้อสงสัยการดำเนินการของปตท. หรือ ปตท เอาเปรียบ จะได้สบายใจ"นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตุกับว่าการขายหุ้นโรงกลั่นทั้ง 2 แห่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานหรือไม่อย่างไร
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า การขายหุ้นโรงกลั่น SPRC เดิมนั้นตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น กำหนดไว้ว่าจะต้องกระจายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปในสัดส่วน 30% ของทุนจดทะเบียนเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่ง ปตท.และเชฟรอนจะลดสัดส่วนหุ้นลงมา แต่เมื่อ ปตท.ต้องการขายหุ้นออกทั้งหมดก็ได้เจรจรากับเชฟรอนเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)พิจารณาก่อนดำเนินการกระจายหุ้น