อย่างไรก็ตาม มองว่าการปรับฐานของ SET Index ครั้งนี้ไม่น่าจะหลุดระดับ 1,500 จุด โดยจะอยู่บนพื้นฐาน P/E ที่ 15 เท่า ถือว่าราคาอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ซึ่งในปีนี้มองระดับดัชนีอยู่ที่ 1,480 จุด และปี 58 จะอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด
บล.กสิกรไทย แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลดีจากนโยบายของภาครัฐ โดยในช่วงครึ่งปีหลังมองหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ SPALI, AP ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่น่าจะมีมาตรการที่ช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, ROBINS กลุ่มธนาคาร KTB, SCB กลุ่มยานยนต์ ได้แก่ STANLY, SAT กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ HEMRAJ กลุ่มโรงพยาบาล BGH, BH กลุ่มอาหาร TUF และกลุ่มสื่อสาร ADVANC
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนระยะกลางขายทำกำไร และซื้อเก็บใหม่เมื่อมีการปรับฐาน ส่วนนักลงทุนระยะยาวให้ถือลงทุนต่อไป และนักลงทุนระยะสั้นให้ดูเทคนิครายวัน
"หุ้นไทยมีโอกาสปรับฐานมากขึ้น โดยสิ่งที่เรากังวลคือดัชนีไม่ได้อยู่ในระดับที่ถูก upside ที่คาดหวังว่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อมีไม่ได้เยอะแล้ว ซึ่งขณะนี้เราก็อยู่ในจุดที่ upside จะเริ่มปรับตัวลดลงเรื่อยๆ รวมถึงเรามีการซื้อขายอยู่บน P/E ที่ 15 เท่า โดยเฉลี่ยระหว่างปี P/E 15 เท่าถือว่าแพง อย่างไรก็ตาม ตลาดรับข่าวดีมาพอสมควรแล้ว หากมีข่าวร้ายเข้ามากระทบก็อาจจะทำให้เกิดการปรับฐานได้เหมือนกัน"นายกวี กล่าว
ด้านนายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงเดือนส.ค.นี้ SET Index มีโอกาสปรับฐานลงมาบ้าง จากปัจุบันอยู่ที่ 1,500 จุดก่อนจะขึ้นไปต่อ โดยมองว่าราคาหุ้นไทยขณะนี้ไม่ได้แพงจนเกินไป ขณะที่ดัชนีปี 57 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,600 จุด และในปี 58 จะอยู่ที่ 1,750 จุด ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเมือง
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนระยะ 6 เดือนถึง 1 ปี ให้ลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่าง AP, LPN กลุ่มค้าปลีก CPALL, ROBINS และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง CK, ITD ขณะที่การลงทุนควรกระจายความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุน และควรจะมีสัดส่วนตามอายุและรายได้