อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด เพราะมีผลกระทบกับการส่งออกของไทย โดยสถานการณ์สำคัญที่ต้องติดตามคือเหตุการณ์ความรุนแรงในอิรักและยูเครนที่ยังไม่สามารถประเมิณได้ว่าจะจบเมื่อได
แม้ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มใเอฟ)ประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโตราว 3.5% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเติบโตราว 4% โดยปีนี้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้ไม่มากนัก เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศหลักหลายๆประเทศ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเศรษฐกิจประเทศหลักๆ อาทิ สหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มที่จะกลับมาเติบโตได้มากขึ้นในปี 58 แต่นยายศุภวุฒิ มองว่า การปรับฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ไอเอ็มเอฟประเมินไม่เหมาะสม เพราะฐานปีนี้ปรับให้เล็กลงแต่ปีหน้าฐานใหญ่ แสดงว่าปีหน้าต้องโตอย่างมาก
นายศุภวุฒิ กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มการของเติบโตขึ้น แต่มองว่าเป็นการเติบโตขึ้นที่ยังไม่มีศักยภาพและยังไม่ถ้วนหน้า โดยเฉพาะบางประเทศในยุโรปที่ยังมีความเสี่ยง อย่างเช่นฝรังเศสที่เศรษฐกิจที่ยังดูไม่ดีนัก ส่วนเงินเฟ้อในยุโรปก็ออกมาต่ำกว่าเป้า 0.5% จากที่ธนาคารกลางยุโรปคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% โดยรวมปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็มีการฟื้นตัวที่ไม่ค่อยจะดีมากนัก
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทของไทยที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ในระยะต่อไปเชื่อว่าเงินบาทยังมีทิศทางที่จะกลับมาอ่อนค่าได้อีกครั้ง
ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น นายศุภวุฒิ มองว่าควรมีความระมัดระวังค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการปิดฉากของมาตรการ QE ของสหรัฐฯในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้จะส่งผลให้ตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่มีความผันผวนค่อนข้างมาก เนื่องจากเงินที่อัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อให้คนนำเงินไปลงทุนในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีแต่มีความเสี่ยงสูงมีโอกาสที่จะไหลกลับไป
"สิ่งที่ FED ทำในการใช้มาตรการ QE เหมือนบอกนักลงทุนว่าเอาเงินไปเสี่ยงเถอะ เดี่ยวผมจะดูแลคุณเอง ซึ่งเป็นการเปิด Upside risk และปิด Downside risk ซึ่ง FED ยังคงให้ทำแบบนี้ต่อไปแม้ว่าจะลดการอัดฉีดเงินเหลือ 35,000 ล้านดอลลาร์ จาก 85,000 ล้านดอลลาร์ ถึงตอนนี้เศรษฐกิจของเขาเริ่มฟื้นตัวดีแล้ว และมาตรการ QE ก็จะจบปลายปีนี้ ก็อาจทำให้เงินที่เคยไหลเข้ามาไหลออกไปได้ สร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่อย่างมาก แต่ถึงแม้ FED จะยกเลิก QE ไปแล้วแต่เค้าก็ยังเก็บพันธบัตรที่ซื้อมาอยู่ยังไม่ขายออกทั้งหมด แต่มองว่ายังไงสหรัฐฯก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้อย่างดี"นายศุภวุฒิ กล่าว
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 58 จะอยู่ที่ระดับ 1,580 จุด บนพื้นฐานความน่าจะเป็น โดยระดับดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งอาจจะมีการปรับประมารการณ์เพิ่มขึ้นในภายหลัง โดยยังคงรอดูปัจจัยบวกจากภาคการบริโภคในประเทศและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานให้มีความชัดเจนอย่างแน่นอนก่อน
ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ถือว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายตั้งแต่เดือน พ.ค.57 เป็นต้นมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ก.ค. 57 มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 50,000 ล้านบาท/วัน จากช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท/วัน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวในรูปแบบ V shape เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มจะกลับมาอย่างเห็นได้ชัด และต่อไปจะมีการอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่มีการชะลอออกไป ซึ่งจะเริ่มมีความชัดเจนออกมามากขึ้น
"ตลาดหุ้นตอนนี้นักลงทุนเริ่มเก่งขึ้นไม่เหมือนกับในอดีต ตอนนี้นักลงทุนต่างมองอนาคตไวขึ้น ไม่หันมามองอดีตมากแล้ว รวมๆ หลังการยึดอำนาจของ คสช.ทำให้เรื่องต่างๆเริ่มดีขึ้น สัญญาณเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้น หุ้นอสังหาฯและแบงก์ก็เริ่มมีการฟื้นตัว การส่งออกก็มองว่าอาจจะค่อยๆกลับมาดีขึ้นแต่คงยังไม่มาก ซึ่งเราก็เป็นห่วงอยู่นิดนึง"นายมนตรี กล่าว