PDG เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทขวด PET (polyethylene terephthalate) สำหรับผลิตภัณฑ์ น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำผลไม้บรรจุขวด น้ำมันพืช รวมถึงน้ำปลาและเครื่องปรุงรส ด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล และความตรงต่อเวลาในการส่งมอบสินค้า ส่งผลให้ PDG ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามานานกว่า 20 ปี
PDG มีทุนชำระแล้ว 135 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 70 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท เมื่อวันที่ 21-23 กรกฏาคม 2557 คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 196 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายธงชัย ตันสุทัตต์ กรรมการผู้จัดการ PDG เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ขยายกำลังการผลิตขวด PET เพื่อตอบรับกับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและการขยายตลาดของบริษัทฯ และใช้ในโครงการติดตั้งเครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน ระยะเวลา และคุณภาพในการผลิต รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต
PDG มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มวิทยฐานกรณ์ ถือหุ้น 49.69% กลุ่มสันติวัฒนา ถือหุ้น 12.00% และกลุ่มศิวะนาวินทร์ ถือหุ้น 2.52% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) 13.14 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 2 ปี 2556 ถึง ไตรมาส 1 ปี 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.21 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหักสำรองตามกฎหมาย
นายธงชัย กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในการเข้าซื้อขายหุ้นเป็นวันแรกของบริษัทฯ และคาดว่าราคาหุ้นจะสามารถยืนเหนือราคาจองได้ จากราคา IPO ที่ 2.80 บาทต่อหุ้น จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทวางเป้าหมายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ และคุณภาพ ให้เป็นที่ยอมรับต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสนใจ ลงทุนในหุ้นของ PDG อย่างมาก จากการที่บริษัทฯ มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้นของบริษัทเป็น Growth stock ที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดว่ารายได้ของปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ประมาณร้อยละ 10-15
ตลอดระยะเวลาการจองซื้อในช่วงวันที่ 21-23 กรกฎาคม 2557 มีนักลงทุนที่สนใจจะจองซื้อหุ้น ของบริษัทติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมากผ่านการจัดจำหน่ายของ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่าย และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บล. กสิกรไทย บล. ฟินันเซีย ไซรัส บล. เอเซียพลัส และ บล. ไอร่า