ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย)เป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนสถาบัน โดยจะเสนอขายขั้นต่ำ 100,000 บาทต่อชุด และเพิ่มเป็นทวีคูณของ 10,000 บาท
ขณะที่ผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจะเสนอขายขั้นต่ำ 100,000 บาทต่อชุด และเพิ่มเป็นทวีคุณทุก 100,000 บาท ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาต และ บล.ภัทร
อนึ่ง CPALL ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์(ประเทศไทย) จำกัด ที่ระดับ " A+(tha) และอยู่ระหว่างการจัดดันดับหุ้นกู้ของบริษัท
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร CPALL เปิดเผยว่า การออกหุ้นครั้งนี้อยู่ภายใต้มติที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2557 ที่ได้อนุมัติวงเงินไว้ไม่เกิน 90,000 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้คาดว่าจะมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยในช่วง 4-5%
"บริษัทฯได้ออกหุ้นกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 50,000 ล้านบาท และออกไปเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาอีกจำนวน 40,000 ล้านบาท ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดี โดยครั้งนี้เราก็จะออกอีก 40,000 ล้านบาท ซึ่งได้ผ่านมติผู้ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญแล้ว โดยมีวงเงินไม่เกิน 90,000 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายคืนหนี้สถาบันการเงิน หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน"นายก่อศักดิ์ กล่าว
สำหรับวงเงินหุ้นกู้ที่เหลืออีกจำนวน 50,000 ล้านบาท บริษัทจะพิจารณาตามภาวะตลาดและความจำเป็นว่าจะนำออกมาเสนอขายหรือไม่ โดยขณะนี้มูลหนี้ที่มีกับสถาบันการเงินอีก 50,000 ล้านบาทนั้นได้มีการปรับเป็นหนี้ระยะยาว 6 ปีแล้ว
นายก่อศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงแผนการขายหุ้น บมจ.สยามแม็คโคร(MAKRO)ออกบางส่วนเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นลงและเพิ่มฟรีโฟลตให้กับหุ้น MAKRO จากปัจจุบันบริษัทฯถือหุ้นอยู่กว่า 97% แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปถึงวิธีการขายและจำนวน รวมถึงช่วงเวลาขายหุ้น อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า CPALL จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MAKRO ต่อไป
ด้านนายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ รองกรรมการผู้จัดการ CPALL กล่าวว่า บริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อนมียอดขายอยู่ที่ 2.72 แสนล้านบาท จากแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/57 คาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มองว่าครึ่งปีหลังนี้ภาวะเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวดีขึ้นตามไปด้วย ส่งผลดีต่อผลประกอบการของหลายบริษัทให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ขณะที่อัตรากำไรสุทธิของ CPALL ในปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 3.7% เนื่องจากปีนี้ได้รวมผลดำเนินงานของ MAKRO เข้ามาด้วย
บริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาตามเป้าหมาย โดยจะตั้งสาขาใหม่ของร้าน 7-11 เพิ่มอีก 600 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาแล้วจำนวน 7,800 สาขา คาดว่าจะใช้งบลงทุน 8-9 พันล้านบาทใช้ในการขยายสาขาและปรับปรุงสาขาเดิม รวมถึงปรับปรุงระบบไอที ขณะที่ MAKRO ตั้งเป้าปีนี้จะมีสาขาเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 7 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 60 สาขา
"ทั้งปียอดขายเราก็ยังเหมือนเดิม แผนการขยายสาขาก็ยังเป็นไปตามเป้าหมาย มองครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับมาอยู่ในระดับที่ดีอีกครั้ง หลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย โดยปัจจุบันยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาต่อวันของ 7-11 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 80,000 บาท สูงกว่าไตรมาส 1/57 ที่อยู่เฉลี่ย 76,000 บาท มองว่าสถานการณ์จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง"นายเกรียงชัย กล่าว