นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสแซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน LDC เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ของทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.)เพื่อกำหนดเปิดจองซื้อหุ้นและวันเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เบื้องต้นคาดว่า LDC จะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ในช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ เพื่อนำเงินระดมทุนขยายศูนย์ทันตกรรมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ
ทั้งนี้ จากการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน(โรดโชว์)ทั้ง 10 จังหวัด มั่นใจว่า LDC จะเป็นหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างสูง และได้รับการตอบรับที่ดี
ทพ.วัฒนา ชัยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ LDC กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อนมีรายได้ 347.61 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิจะสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 3.7% ซึ่งภายใน 3 ปีน่าอัตราดังกล่าวก็น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลักได้
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 15% เนื่องจากบริษัทฯมีแผนการขยายสาขาใหม่เพิ่มอีกจำนวน 5 สาขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและตกแต่งสาขาจำนวน 2 แห่ง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือน ก.ค.และเดือน ต.ค.นี้ และที่เหลืออีก 3 สาขา อยู่ระหว่างการสำรวจทำเลที่ตั้ง โดยวางงบลงทุนต่อสาขาไว้ที่ 10 ล้านบาท ซึ่งทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีสาขาทันตกรรมทั้งสิ้น 24 สาขา และคาดว่าจะสามารถคุ้มทุนได้ภายใน 3 ปี
ขณะที่สาขาเดิมมองว่ารายได้จะเติบโต 10% จากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มดีขึ้น โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองเฉพาะสาขาที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณสถานที่ชุมนุม
ทพ.วัฒนา กล่าวว่า บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างรายได้หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากค่ารักษาทางการแพทย์ 99.18% ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนดังกล่าวลงให้เหลือประมาณ 95% และเน้นการสร้างรายได้ในส่วนอื่นให้มากขึ้น เช่น รายได้จากการขายสินค้า รายได้ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าสมาชิก ค่า X-Ray เพื่อให้มีรายได้และกำไรมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ LDC นั้น ทพ.วัฒนา มองว่า การบริการด้านทันตกรรมมีโอกาสเจริญเติบโตมากขึ้น จากสำนักงานสิถิติแห่งชาติได้สำรวจพบว่าประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของประชากรผู้สูงอายุเพิ่งสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการบริการด้านทันตกรรมน่าจะเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นจากการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะช่วยส่งผลดีต่อธุรกิจด้านสุขภาพ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางสุขภาพของ AEC และการบริการทันตกรรมเป็นที่ได้รับคววามนิยมจากชาวต่างชาติ ซึ่งบริษัทฯก็จะมีการทำสัญญากับเอเจนซีที่จะนำชาวต่างชาติเข้ามารักษาในคลินิกมากขึ้นเพื่อขยายฐานลูกค้า เพราะปัจจุบันมีลูกค้าต่างชาติไม่ถึง 10%
พร้อมกันนี้ บริษัทวางงบการตลาดปีนี้ไว้ 3% ของรายได้รวม เพื่อใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ คาดว่าน่าจะได้เห็นหนังโฆษณาชุดใหม่ในช่วงกลางเดือน ส.ค.นี้เป็นต้นไป