อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้คงจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน หรืออาจเพิ่มขึ้นราว 5% จากปี 56 ที่มีรายได้ราว 2 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 2.3-2.5 พันล้านบาท เนื่องจากในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลให้ยอดโอนและยอดขายปรับตัวลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน ต้องมีการชะลอการเปิดโครงการใหม่มาเป็นช่วงครึ่งปีหลังทั้งหมด จากเดิมที่คาดว่าจะมีการเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีแรกบางโครงการ
ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมราว 6 พันล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมที่เชียงใหม่ มูลค่า 1.7-1.8 พันล้านบาท คอนโดมิเนียม ทิวทะเล 3 หัวหิน มูลค่า 1.8 พันล้านบาท โรงแรมภูเก็ต มูลค่า 1.6-1.7 พันล้านบาท และโครงการที่สาทรมูลค่าราว 700 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท ซึ่งกำหนดที่จะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปีนี้ราว 1 พันล้านบาท
นายสงกรานต์ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจโรงแรม ในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นมากนัก โดยเฉพาะโรงแรมของบริษัทที่ภูเก็ต ช่วงต้นปีนี้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยยังอยู่ที่ราว 80 % แต่ในช่วงนี้อาจปรับลดลงบ้างตามฤดูกาลท่องเที่ยวที่เป็นหน้าโลว์ซีซั่น
"ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯก็ซบเซาลงไปบ้าง ตามกระแสเพราะมีเรื่องของการเมือง การประท้วง ซึ่งส่งผลกระทบกับยอดขาย และการโอน แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของโรงแรมเองยังไม่ได้รับผลกระทบต่ออัตราการเข้าพัก ซึ่งการปรับลดลงเป็นเพียงการปรับลดตามซีซั่นเท่านั้นเอง ซึ่งทั้งปีเราก็จะพยายามรักษาระดับรายได้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อน หรืออาจจะเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 5% เพราะในช่วงไตรมาส 4 ที่เราจะมียอดโอนเข้ามาค่อนข้างมาก"นายสงกรานต์ กล่าว
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมในส่วนของโรงแรมศรีพันวา เฟส 2 ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่าราว 1 พันล้านบาท คาดว่าจะสามารถขายเข้ากองทุนฯได้ในปี 58