สำหรับการพัฒนาโครงการเซ็นทรัลศาลายา ถือเป็นการตอบโจทย์ที่สำคัญของการขยายตัวของเมืองไปยังรอบนอกกรุงเทพฯเพิ่มมากขึ้น โดยที่ตั้งของโครงการจะเป็น Hub ของประชากรที่ย้ายออกมาอยู่ตามชานเมือง โดยภายในศูนย์การค้ามีการรวมร้านค้าแบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศไว้กว่า 250 ร้าน ตามคอนเซ็ปต์ "Bring the Best Close to you
"เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของที่นี่ ซึ่งมีการอยู่อาศัยที่หนาแน่น โดยกลุ่มคนที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง มีโครงการบ้านจัดสรรระดับกลางถึงสูงกว่า 100 โครงการ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายรองกว่า 7 แสนครัวเรือนในปัจจุบัน มีการคมนาคมที่มีการขยายตัวครอบคลุมเป็นอย่างมาก และเป็นศูนย์กลางศึกษา แหล่งรวมคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง"นายณัฐกิตติ์ กล่าว
นายณัฐกิตติ์ ยังกล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนาโครงการศูนย์การค้าเพิ่มเติมในทำเลบริเวณจังหวัดปริมณฑลของ กทม.อีก 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี นครปฐม และปทุมธานี ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการขยายศูนย์การค้าในปริมณฑลและเขตชายแดน เพื่อรองรับการขยายตัวของจังหวัดรอบนอกกรุงเทพฯในอนาคตที่ประชากรจะเริ่มกระจายออกมาอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น
"กลยุทธ์ของเราก็เน้นพัฒนาศูนย์ใน satellite town และจังหวัดชายแดน ซึ่งอย่างจังหวัดที่เป็น satellite town ต่อไปก็จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะคนเริ่มออกมาอยู่อาศัยนอกกรุงเทพฯมากขึ้น เพราะในกรุงเทพฯที่ดินแพงมาก ต่อไปการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆก็จะกระจายเข้ามา ทำให้พื้นที่ satellite town จะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เราศึกษาจะลงทุนศูนย์การค้าเพิ่มในสมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี นครปฐม และปทุมธานี เราเชื่อว่าการที่เราเข้าไปก็เป็นการจุดประกายความเจริญให้เข้ามามากกว่าเดิมอีก และจังหวัดเหล่านั้นกำลังซื้อก็มีรออยู่แล้วเช่นกัน"นายณัฐกิตติ์ กล่าว
ส่วนแผนงานในปีหน้า CPN จะเปิดศูนย์การค้าแห่งใหม่ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลเวสต์เกต บางใหญ่, เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสท์วิลล์ ริมถนนประดิษฐ์มนูญธรรม และเซ็นทรัล ระยอง
นายณัฐกิตติ์ กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 15% จากปี 56 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2.23 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในครึ่งปีแรกจะเผชิญกับปัญหาทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและอัตราการเข้าใช้บริการศูนย์การค้าลดลงราว 10% แต่ครึ่งปีหลังมองว่าสถานการณ์ต่างๆเริ่มกลับมาดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากการเมืองสงบ ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
ประกอบกับ หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศได้มีแนวทางในการกระตุ้นกำลังซื้อในระยะสั้นให้กลับมา และมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อศูนย์การค้าและผู้เช่าศูนย์การค้าของบริษัท ทำให้มีแนวโน้มลูกค้าเข้ามาใช้บริการศูนย์การค้ามากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก
นอกจากนั้น บริษัทได้เพิ่มงบการตลาดเพื่อใช้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในปีนี้สูงขึ้นเป็น 700 ล้านบาทในศูนย์การค้า 24 แห่งที่เปิดบริการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมากกว่าปกติที่ใช้ประมาณปีละ 500-600 ล้านบาท โดยในปีนี้จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 กิจกรรม/ศูนย์/เดือน จากปกติ 3-4 กิจกรรม/ศูนย์/เดือน ยกเว้นเซ็นทรัลเวิลด์ที่จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากที่สุดอยู่ที่ 10 กิจกรรม/เดือน
"การที่เราจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเยอะมากกว่าปกติและใช้งบมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราต้องมีการช่วยเหลือผู้เช่าของเรา ครึ่งปีแรกเราและผู้เช่าก็เจอปัญหามาเยอะจากการมืองและเศรษฐกิจ แต่ครึ่งปีหลังก็มองว่าดีขึ้นจากความเชื่อมั่น แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และการส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นตัวช่วยให้การเข้าใช้บริการและกำลังซื้อกลับมาดีขึ้น เราทำกิจกรรมการตลาดเยอะเพราะเราต้องการดึงคนให้กลับมา"นายณัฐกิตติ์ กล่าว