รวมทั้งในไตรมาส 4/57 จะปิดดีลการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท Nido Petroleum Limited(Nido) ซึ่งเป็นธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมได้ แต่ส่วนจะรับรู้กำไรจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น Nido จะเสนอขายหุ้นให้กับบริษัทตามที่เสนอซื้อไปทั้ง 100% หรือไม่ โดย Nido มีกำไรปีละ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 400 ล้านบาท
ทั้งนี้ ประมาณการ EBITDA ในปี 57 จะมาจากธุรกิจโรงกลั่น 5,500 ล้านบาท ธุรกิจขายปลีก 2,000 ล้านบาท โซล่าร์ฟาร์ม 2,000 ล้านบาท ไบโอดีเซล กว่า 200 ล้านบาท และ ไบโอเอทานอล กว่า 100 ล้านบาท แต่ EBITDA ในปี 63 จะมีสัดส่วนเปลี่ยนไป โดยจะมาจากธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจขายปลีกไม่เกิน 50% ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะมาจากธุรกิจใหม่และธุรกิจพลังงานทดแทน ได้แก่ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ไบโอแก๊ส ไบโอเอทานอล โซลาร์ฟาร์ม
นายวิเชียร กล่าวว่า แหล่งเงินที่เข้าลงทุนใน Nido ที่คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 3,700 ล้านบาทในกรณีซื้อหุ้นทั้ง 100% และการลงทุนในบริษัท บีซีพี ไบโอเอทานอล จำกัด จำนวน 765 ล้านบาทนั้น จะมาจากการออกหุ้นกู้จำนวน 1 หมื่นล้านบาทเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินทุนเหลือที่จะขยายธุรกิจใหม่ประมาณ 5,500 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทหลังออกหุ้นกู้เพิ่มมาเป็น 0.6 เท่า จากเดิม 0.5 เท่า
"สาเหตุที่บางจากเข้าซื้อกิจการ Nido เพื่อความมั่นคงในอนาคต และลดความผันผวนธุรกิจโรงกลั่น และค่าการกลั่น เราต้องการรายได้มั่นคง อย่างน้ำมันดิบที่เข้าโรงกลั่นมาจากในประเทศ 50% นำเข้า 50% แต่นำเข้าในเอเชียได้ไม่เยอะ...โรงกลั่นเรามีพื้นที่จำกัด ขยายโรงใหม่ก็ไม่ได้แล้ว เราก็ต้องหาธุรกิจใหม่เข้ามาเพื่อการเติบโตของบริษัท และคาดว่าปีหน้า EBITDA เติบโตต่อเนื่อง"กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP กล่าว
นอกจากนั้น ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าร่วมทุนกับพันธมิตร 2 รายในการทำธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ป่น ซึ่งพันธมิตรท้องถิ่นมีที่ดินอยู่หลายแปลง โดยเนื้อที่แปลงหนึ่งใหญ่เพียงพอที่จะทำโซลาร์ฟาร์มขนาด 20-30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถสรุปดีลนี้ได้ภายในปีนี้
นายวิเชียร กล่าวว่า BCP มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้หุ้นของบริษัทขึ้นไปอยู่ในลำดับ 20-25 ของดัชนี SET 50 จากปัจจุบันอยู่ท้ายๆ หรือในช่วงลำดับที่ 46-50 ซึ่งหากบริษัทอื่นเติบโตมากกว่า หุ้น BCP ก็มีโอกาสหลุดดัชนี SET50 จะส่งผลให้หุ้นขาดความน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ BCP ต้องการมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติตามที่มอยู่ในปัจจุบันมีไม่เกิน 30% เพื่อวันข้างหน้าหากบริษัทมีการเพิ่มทุนก็จะสามารถดำเนินการได้โดยง่าย
กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP ยังกล่าวอีกว่า บริษัทพร้อมรับซื้อข้าวเสื่อมคุณภาพจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมาผลิตเป็นเอทานอล แต่ก่อนที่จะรับซื้อคงต้องดูถึงสัดส่วนแป้งของข้าวว่าจะให้ผลผลิตเป็นอย่างไร แล้วจึงกำหนดราคารับซื้อเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพแป้งของมันสำปะหลังในราคาเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม หากรัฐให้รับซื้อก็หมายถึงโรงงานเอทานอลจะต้องใช้มันสำปะหลังน้อยลง ก็จะกระทบต่อผู้ปลูกมันสำประหลัง ดังนั้น หากต้องการให้เกิดผลประโยชน์ทุกฝ่าย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)น่าจะพิจารณาประกาศยกเลิกเบนซิน 95 เพื่อขยายปริมาณการใช้เอทานอลให้เพิ่มขึ้นเพราะขณะนี้ยอดใช้อยู่ที่ประมาณ 2.87 ล้านลิต่ต่อวันเท่านั้น หากใช้เพิ่มก็ทำให้การใช้วัตถุดิบจากมันสำปะหลังไม่ได้รับผลกระทบหากจะใช้ข้าวเน่ามาเป็นวัตถุดิบร่วม ขณะที่รถยนต์ก็จะไม่มีผลกระทบเพราะรถกว่า 90% สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ได้แล้ว รวมถึงมอเตอร์ไซด์และรถหรู