“รายได้จากการขายและกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปีนี้ นับเป็นการทำสถิติสูงสุดรอบใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 นับจากที่ได้กลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตหลังการฟื้นตัวจากน้ำท่วมในปี 54 ซึ่งยอดขายที่เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 24.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสภาวะตลาดที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และลูกค้ามีความต้องการสินค้า PCB เพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายในไตรมาส 2/57 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/57 นับว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.9 ของยอดขายในสกุลเงินบาท (ร้อยละ 2.6 ในสกุลเงินดอลล่าร์) ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องด้วยตามปกติไตรมาสนี้จะอยู่ในช่วงพักฤดูร้อนของทางยุโรป"นายบัญชา กล่าว
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/57 กลุ่มบริษัทยังสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานได้เป็นจำนวน 444.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15.8 ของยอดขายรวม ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเติบโตของยอดขาย อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่ลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/57 อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 31.44 ต่อยอดขาย จากร้อยละ 31.54 ในไตรมาส 1/57 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นมากจากร้อยละ 24.9 ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการใช้กำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับที่ทรงตัว
นายบัญชา กล่าวเพิ่มเติมถึงผลดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 57 (มกราคม-มิถุนายน) ว่า กลุ่มบริษัทมียอดขายรวม 5,583.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 918.3 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันในปี 56 มียอดขายอยู่ที่ 4,261.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 469.3 ล้านบาท สำหรับกำไรต่อหุ้นพื้นฐาน (basic EPS) ในครึ่งแรกของปี 57 เท่ากับ 1.76 บาท จาก 1.02 บาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผู้บริหารเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งปีหลังของปี 57