บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ขาย"หุ้น บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล(JAS) กำไรปัจจุบันยังแข็งแกร่งแต่หมดช่วงของการเป็นหุ้นเติบโตสูง ขณะที่เงินลงทุนยังคงมีความจำเป็น ทำให้ยังไม่ใช่หุ้นปันผลเช่นกัน นอกจากนี้ประเด็นฟ้องร้องหลายประเด็นที่กระทบราคาหุ้นบ่อยครั้ง แม้กระทบจิตวิทยาเพียงช่วงสั้น แต่มีโอกาสกระทบปัจจัยพื้นฐานในอนาคตได้ โดยเฉพาะประเด็น TT&T ยื่นฟ้อง Worst case อาจทำให้ไม่มีสินทรัพย์ดำเนินธุรกิจ แต่คาดว่าต้องใช้เวลาในการพิจารณาของศาล เบื้องต้นรอคำสั่งศาลว่าจะคุ้มครองชั่วคราวสินทรัพย์ดังกล่าวหรือไม่ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่สูงขึ้น พร้อมปรับ Beta ของ JAS ขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงอยู่ที่ 6.20 บาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น JAS ปรับตัวลงจาก 2 ประเด็นหลักคือ 1) ความกังวลหลังมีรายงานข่าวว่าเจ้าหนี้สถาบันการเงินต่างประเทศ 4 แห่ง เตรียมยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งในวันท่ 18 ส.ค. เพื่อให้ JAS ชำระหนี้ที่เคยต้อง Hair cut ให้ในช่วงที่เข้าแผนฟื้นฟูมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท (1.40 บาท/หุ้น) หลังศาลฎีกาพลิกคำตัดสินศาลล้มละลายกลาง ไม่เห็นชอบกับแผนฟื้นฟู และ 2) กรณี TT&T ยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อร้องสิทธิในการเพิ่มทุนใน TTTBB (รายละเอียดหน้า
2) ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยของ JAS และเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่กำลังจะขายเข้ากองทุน IFF โดย TT&T ร้องให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์สินไว้ หากศาลรับฟ้องจะทำให้ทรัพย์สินนี้ไม่สามารถทำธุรกรรม IFF ได้ จึงเป็นความเสี่ยง แม้ว่าบริษัทยังคงมั่นใจว่าปัจจุบันไม่มีเจ้าหนี้รายใดมาแสดงตนและจะจ่ายหนี้ไม่เกิน 1,300 ล้านบาทตามที่ฝ่ายกฎหมายของบริษัทประเมิน และกรณีกับ TT&T บริษัทเชื่อว่า MOU หมดอายุไปแล้วนั้น แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนศาลถือว่าเป็นความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนที่ผลวินิจฉัยอาจเป็นบวกหรือลบต่อบริษัทได้ หากเป็นลบจะกระทบให้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญได้