RICHY ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีโครงการประเภทคอนโดมิเนียม ที่เน้นใกล้เคียงกับสถานีขนส่งมวลชนระบบราง ภายใต้ชื่อ “เลอริช" และ “ริชพาร์ค" และโครงการประเภทบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ ทาวโฮมส์ ภายใต้ชื่อ “เดอะริช" และ “ริชชี่ วิลล์"
RICHY มีทุนชำระแล้ว 714 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 214 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 28 - 29 กรกฎาคม และ 1 สิงหาคม 2557 ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 706 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร RICHY เปิดเผยว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ประมาณ 14.35 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 เมษายน 2556 – 31 มีนาคม 2557) ซึ่งเท่ากับ 161.36 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท โดยที่ค่า P/E Ratio เฉลี่ยของผู้ประกอบการอื่นในอุตสหากรรมเดียวกันและมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดใกล้เคียงกัน ที่จดทะเบียนอยู่ในตลท. เฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 12 เดือน (15 กรกฎาคม 2556 - 14 กรกฎาคม 2557) เท่ากับ 11.76 เท่า บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงบการเงินเฉพาะกิจการ และหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้
ทั้งนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงให้แก่บริษัท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ขยายโครงการใหม่รองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับบริษัท
RICHY มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มอรรถบูรณ์วงศ์ ถือหุ้น 54.36% นางสุณี สถตินันท์ ถือหุ้น 6.33% นางวรภา มนต์อารักษ์ ถือหุ้น 2.18%
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ได้ทำการประเมินได้ปัจจัยพื้นฐานของ RICHY โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 6.41 บาท ซึ่งเป็นการประเมินจากวิธีคิดลดกระแสเงินสดจากส่วนผู้ถือหุ้น โดยให้ Terminal Multiple ที่ 8.5 เท่า ณ สิ้นปี 2559 เทียบกับ Trading Multiple ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 8-16 เท่า และคิดส่วนลดของต้นทุนของหุ้นสามัญและกำไรสะสมทำให้ได้ราคาดังกล่าว
ทั้งนี้ประเมินจากปัจจัยพื้นฐานที่พบว่าเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่มีความโดดเด่น เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการตั้งอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าในรัศมีไม่เกิน 100 เมตร และบริษัทมีความสามารถในการบริหารต้นทุนและเวลาในการก่อสร้าง เนื่องจากผู้บริหารและทีมงานมีประสบการณ์การบริหารงานที่ยาวนาน ก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัทและเปิดดำเนินการมาแล้ว 12 ปี
นอกจากนี้อัตราการขายของแต่ละโครงการอยู่ในระดับสูงกว่า 80-90% ขึ้นไป และมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยจากปี 2555-2556 ที่ 37.7% และกำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 16.9% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหาทำเลที่มีศักยภาพ และการควบคุมต้นทุนก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างเสร็จก่อนกำหนด
ทั้งนี้ได้ประมาณการรายได้จะเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2559 จากปี 2556 ที่มีรายได้ 1,200 ล้านบาท โดยหลังจาก IPO ประมาณการฐานเงินทุนปี 2558 อยู่ที่ 1,500-2,000 ล้านบาท คาดอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ 56% ในช่วง 3 ปี ข้างหน้า แม่ว่าจากขนาดที่ขยายขึ้น บริษัทก็ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าวัสดุก่อสร้างตามมา