นายสยาม ประสิทธิศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ เอสเอ็มอี BAY เปิดเผยว่า ธนาคาร มั่นใจสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 13% หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อ 206,800 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการปล่อยสินเชื่อได้แล้ว 4.4% หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 191,497 ล้านบาท
แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโต 8.6% หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท โดยจะเน้นการร่วมมือกับภาครัฐ ที่ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาค้ำประกันให้กับเอสเอ็มอี เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี และสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น โดยฟรีค่าธรรมเนียมปีแรก 1.75% วงเงิน 55,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าของธนาคารเข้าใช้โครงการดังกล่าววงเงิน 25,000 ล้านบาท
"กรุงศรีเอสเอ็มอีปีนี้วางไว้ที่ 13% ยอดสินเชื่อคงค้างจาก 183,000 ล้านบาทเมื่อปี 56 เราตั้งเป้าจะโตไปที่ 207,000 ล้านบาท ณ ครึ่งปีแรกที่สภาวะการณ์ยากลำบาก กรุงศรีก็ยังคงยืนเป้าหมายอยู่เหมือนเดิม โดยในครึ่งปีแรกเราเติบโตไปได้ 4.4% หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง 191,000 ล้านบาท ก็เป็นเป้าหมานที่เราวางไว้ตั้งแต่ต้น ส่วนอีก 15,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลังสิ่งที่เราทำเราจะร่วมกับ บสย. จากที่บสย.มีการออกมาตรการเพื่อลดต้นทุนการเงินของลูกค้า SME โดยฟรีค่าธรรมเนียม 1.75% ซึ่งธนาคารกรุงศรีจะเป็นธนาคารแรกที่เริ่มโปรโมทข่าวนี้ออกไป เพื่อให้ SME ทั้งหลายได้รับผลประโยชน์ในการได้ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง โดยออกสินเชื่อเอสเอ็มอี 3 เท่าออกไป โดยผ่านทั้งโฆษณาทางทีวี และหนังสือพิมพ์" นายสยาม กล่าว
ทั้งนี้ มองแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 58 จะเติบโตดีกว่าปี 57 โดยคาดการณ์ว่า GDP ปีนี้จะขยายตัวได้ 3-4% ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อในปี 58 จะต้องสูงกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ 3-4 เท่า จากมาตรการลงทุนต่างๆของภาครัฐ ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการคาดว่าจะเริ่มส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในส่วนของเอสเอ็มอี มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเมื่อเดือนมิ.ย.57 อยู่ที่ 2.7% ลดลงจากเดือนพ.ค.57 ที่อยู่ที่ 3% และคาดว่าแนวโน้ม NPL จะปรับลดลงต่อเนื่อง จากความสามารถในการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้น
สำหรับการที่คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งผลให้ต้นทุนการเงินของลูกค้าที่ใช้สินเชื่อจะลดลง และจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคเอกชนที่คิดจะลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในการนำเงินไปลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง