น.ส.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่เพลซ 202 (RICHY) กล่าวว่า ราคาหุ้น RICHY เข้าซื้อขายวันแรกช่วงเปิดตลาดสูงกว่าราคา IPO ที่ 3.30 บาท เนื่องจากนักลงทุนเล็งเห็นถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ซึ่งมีผลประกอบที่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับ หุ้นเข้าซื้อขายในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่ดีเอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นในวันนี้
"ราคาหุ้น RICHY วันนี้ก็ขึ้นมาเกินความคาดหมายที่เราประเมินไว้ ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยที่เราประเมินไว้ 1.พื้นฐานของหุ้นเราที่ดี ซึ่งนัลงทุนได้เล็งเห็นถึงผลการดำเนินงานของเราที่ดีต่อเนื่อง 10 ปีที่ดำเนินการมา ทำให้บริษัทแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นหุ้นเรา และ2.ภาวะตลาดในขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีเอื้อต่อหุ้นของเราเพิ่มขึ้นในวันนี้ สำหรับเงินที่ได้จากการจำหน่าย IPO จำนวน 706 ล้านบาทนั้น บริษัทได้นำไปใช้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแล้วเมื่อวันที่ 5 ส.ค.57 ที่ผ่านมา เพราะเราได้รับเงินวันที่ 4 ส.ค.57"น.ส.อาภา กล่าว
ประธานกรรมการบริหาร RICHY กล่าวว่า บริษัทประเมินรายได้และกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากในช่วงปลายไตสมาส 3/57 จะมีการรับรู้รายได้จากการทยอยโอนโครงการคอนโดมิเนียมริชพาร์ค เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 1.7 พันล้านบาท ซึ่งในช่วงตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/57 ถึงสิ้นปี 57 จะรับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าว 60-70% ของมูลค่าโครงการ
ประกอบกับ สถานการณ์การเมืองเริ่มดีขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นเริ่มมีการฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้การโอนโครงการที่แล้วเสร็จบางโครงการเป็นไปตามแผน หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกลูกค้าบางรายชะลอการโอน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.205 พันล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฯ และอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะรักษาระดับให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 36% แม้ว่าไตรมาส 1/57 อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงมาที่ 29-30% เนื่องจากการโอนโครงการในไตรมาส 1/57 น้อยมาก และค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/57 ลดลง
"ครึ่งปีหลังในแง่ของรายได้และกำไรจะดีกว่าขึ้นปีแรกอย่างแน่นอน ครึ่งปีแรกเราเจอปัญหาทางการเมืองส่งผลให้ความเชื่อมั่นลดลง ลูกค้าบางรายก็ชะลอการโอน ยอดจองก็ลดลง แต่ครึ่งปีหลังดีขึ้นกว่ามากแน่นอน โดยเฉพาะในไตรมาส 3/57 และไตรมาส 4/57 ที่จะมีการโอนคอนโดที่เตาปูน 60-70% ของมูลค่าโครงการ ทำให้รายได้เราจะเข้ามามากและกำไรก็ดีขึ้น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงในไตรมาส 1/57 เป็นเพราะเรามียอดโอนต่ำมาก ทำให้รายได้ไม่เยอะ และเรามีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายก็เลยมากขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของเราลดลง"นางสาวอาภา กล่าว
สำหรับยอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 50% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 58 นอกจากนี้บริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2.65 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการหมู่บ้านจัดวรร ห่างจากถนนราชพฤกษ์ 150 เมตร และใกล้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วงสถานีบางรักใหญ่ มูลค่าโครงการราว 650 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวไปแล้วในเดือนพฤษภาคมปีนี้ และโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท โดยจะมีการเปิดตัวก่อนสิ้นปี 57 สำหรับการปรับราคาขายโครงการเพิ่มขึ้นบริษัทประเมินว่าอาจจะมีการปรับเพิ่ม 5-10% ทุกปี ขึ้นอยู่กับทำเลในแต่ละโครงการ