อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ผ่านมาของบริษัทในโครงการรับเหมาก่อสร้างทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนและมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่อยู่ในระดับปานกลาง จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างผันผวน และความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในงานโยธาจากโครงการของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ต่อไป โดยที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% หรืออัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกิน 1.2 เท่าในช่วงปี 2557-2559
NWR ก่อตั้งในปี 2519 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2538 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2557 คือนายพลพัฒ กรรณสูต ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 10% บริษัทเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่รับงานโยธาได้หลากหลาย เช่น งานอาคาร งานถนน ทางด่วน สะพาน งานท่าเรือ งานระบบชลประทาน งานอุโมงค์ และงานท่อ เป็นต้น
บริษัทมีสถานะความเสี่ยงทางธุรกิจในระดับปานกลางซึ่งสะท้อนจากผลงานที่ผ่านมาและงานที่แล้วเสร็จ โดยในช่วงปี 2552 ถึงไตรมาสแรกของปี 2557 บริษัทรับรู้รายได้จากโครงการรับเหมาก่อสร้างจากภาคเอกชนและภาครัฐในสัดส่วน 60% และ 40% ตามลำดับ รายได้เฉลี่ยของบริษัทในช่วงปี 2552-2554 อยู่ที่ระดับ 3,900 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ในปี 2555-2556 รายได้เฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 6,700 ล้านบาทต่อปี รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2557 อยู่ที่ 1,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างอาคารโรงไฟฟ้าที่มีมูลค่าสูง บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยเท่ากับ 8%
บริษัทมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบในช่วงปี 2552-2556 อยู่ที่ระดับ 13,000-15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 7,500 ล้านบาทในปี 2551 เนื่องจากการได้รับงานโครงการขุดและขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะมูลค่าสัญญา 8,878 ล้านบาทในปี 2552 ณ เดือนมีนาคม 2557 บริษัทมีงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่า 15,304 ล้านบาท โดยงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่าสูงสุด 3 ลำดับแรกมีมูลค่าโครงการรวม 9,263 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61% ของมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบทั้งหมด ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบประมาณ 2,900-4,800 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2557-2559 ซึ่งทริสเรทติ้งประเมินว่าจะเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของประมาณการรายได้พื้นฐานของบริษัท
อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนรวมไปถึงผลงานที่มีจำนวนน้อยในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ในปี 2549 บริษัทลงทุน 40% ร่วมกับ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์(CI) เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม "ดิ อิสสระ ลาดพร้าว" มูลค่า 1,867 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม "อิซซี่ สุขสวัสดิ์" มูลค่า 2,000 ล้านบาทในปี 2556 นอกจากนี้ ในปี 2550 บริษัทยังได้ลงทุนในสัดส่วน 25% ร่วมกับ บริษัท วีเอสพีเอ็น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว "ซีบรีส วิลล่า พัทยา" มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท และในช่วงระหว่างปี 2555-2558 บริษัทก็มีแผนพัฒนาและก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยวเองอย่างน้อย 3 โครงการภายใต้ชื่อ "บารานี" รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2,200 ล้านบาทด้วย
บริษัทมีอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน ก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ระหว่าง 6%-8% ในช่วงปี 2552-2556 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีขนาดธุรกิจใกล้เคียงกัน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 51%-58% ในช่วงปี 2552-2555 แต่ลดลงเหลือ 44% หลังจากการเพิ่มทุนจำนวน 1,160 ล้านบาทในปี 2556
สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2556 ถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2557 อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ ในช่วงปี 2557-2559 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อปี โดยจะมาจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 400 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ โอกาสที่รายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าประมาณการนั้นอยู่ในระดับปานกลางจากการที่บริษัทมีมูลค่างานในมือที่จะรับรู้เป็นรายได้เกือบ 50% ของประมาณการรายได้พื้นฐานของทริสเรทติ้ง
อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 6%-8% มาอยู่ในระดับที่มากกว่า 8% เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าเดิมจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 45%-55% ในช่วงปี 2557-2559
ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะสูงกว่า 18% ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4.5 เท่า