สำหรับขั้นตอนของการใช้ "บริการแลกทองคำสำหรับผู้ซื้อขาย Gold Futures" ก่อนที่สัญญาจะครบกำหนดอายุลูกค้าสามารถติดต่อมายังบริษัท เพื่อแจ้งความจำนงในการซื้อหรือขายทองคำ ซึ่งน้ำหนักขั้นต่ำที่แลกได้อยู่ที่ 10 บาท แต่ไม่เกินจำนวนที่ถือครองใน Gold Futures จากนั้นแสดงเอกสารการมีธุรกรรมซื้อขาย Gold Futures ใน TFEX และชำระเงินประกันการใช้บริการในอัตรา 30,000 บาทต่อการแลกซื้อขายทองคำน้ำหนัก 10 บาท และ 150,000 บาทต่อการแลกซื้อขายทองคำน้ำหนัก 50 บาท ภายในเวลา 12.00 น.ของวันซื้อขายวันสุดท้ายของ Gold Futures โดยชำระราคาทองคำส่วนที่เหลือหรือส่งมอบทองคำเต็มจำนวนภายใน 2 วันทำการหลังจากที่สัญญาครบกำหนดอายุ ซึ่งราคาซื้อขายทองคำนี้จะอ้างอิงจากราคาที่ใช้ชำระราคาครั้งสุดท้าย (final settlement price) ของ สัญญา Gold Futures ที่ครบกำหนด อายุในเดือนนั้น
ส่วนอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการ (fee) จะกำหนดไว้เป็นมาตรฐาน กรณีผู้ซื้อ gold futures อยู่ที่+50 ต่อบาทต่อทองคำน้ำหนัก 1 บาท และกรณีผู้ขายอยู่ที่ -150 บาทต่อทองคำน้ำหนัก 1 บาท
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สัญญาที่ครบกำหนดอายุเดือนสิงหาคม 2557 คือสัญญา 50 บาท (GFQ14) และสัญญา 10 บาท (GF10Q14) ผู้ซื้อขาย Gold Futures สนใจใช้บริการดังกล่าว สามารถชำระเงินประกันการใช้บริการดังกล่าวตั้งแต่ก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนสิงหาคมคือวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2557 ก่อนเวลา 12.00 น. โดยเชื่อว่าบริการนี้คงได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเพราะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการซื้อขาย Gold Futures และบริหารความเสี่ยงให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2557 วายแอลจีมองว่าราคา ทองคำจะยังคงเคลื่อนไหวภายในกรอบราคา 1,180-1,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,000-21,800 บาทต่อบาททองคำ โดยประเมินว่าราคาทองคำจะเผชิญความผันผวนแม้จะเกิดแรงขายออกมาระหว่างทาง แต่ยังคงแนวโน้มขาขึ้นไว้ได้
ทั้งนี้ ราคาทองคำไม่ควรเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนนั้น หากเป็นนักลงทุนระยะยาวยังคงสามารถสะสมทองคำ ได้ตั้งแต่ 1,200-1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ 18,300-18,000 บาทต่อบาททองคำ ส่วนนักลงทุนระยะสั้นอาจเก็งกำไรตามกรอบราคาโดยมีปัจจัยแวดล้อมใน ขณะนั้นๆประกอบการตัดสินใจลงทุน
ปัจจัยที่มีผลกระทบคือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯโดยเฉพาะ นโยบายอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีการประเมินว่าอาจปรับตัวขึ้นได้จากสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดี ขึ้น แต่หากมีการปรับขึ้นเร็วกว่าที่กำหนด ย่อมส่งผต่อทิศทางของราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปัญหาในยูเครนยังคงส่งผลกระทบต่อราคาทองคำเป็นระยะในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งหากมีประเด็นเพิ่มเติมย่อมส่งผลต่อราคาทองคำได้อีกเช่นกัน
นอกจากนี้ ความต้องการทองคำที่มาจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงอินเดียและจีนโดยเฉพาะจีนที่มีการประเมินว่าครัวเรือนในระดับชนชั้นกลางจะปรับเพิ่มขึ้น 60% ในปี 2020 ย่อมเป็นปัจจัยที่จะผลักดันราคาทองคำได้ในระยะยาว และสุดท้ายความต้องการทองคำที่มาจากธนาคารกลางยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำไม่ให้ปรับตัวลงมากนัก