"ตั้งแต่ต้นปีตั้งเป้ายอดขายรวมเติบโตตัวเลข 2 หลักได้ โดยครึ่งแรกเป็นการพิสูจน์องค์กร แต่ยอดขายในเวียดนามยังเติบโตได้ 30%โดยจะแจ้งงบใน 13 ส.ค.นี้"นายอัศวิน กล่าว
ทั้งนี้ การซื้อกิจการ METRO Vietnam ด้วยมูลค่า 655 ล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท นับเป็นจุดสำคัญในการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ครบวงจรต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ เสริมธุรกิจเดิมที่ลงทุนในร้าน B’s mart ที่มี 95 สาขาในเวียดนาม ดังนั้น จึงคาดว่าในปีหน้ายอดขายในเวียดนามจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ปีละประมาณ 300 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7,330 เท่า ซึ่งจะครอบคลุมทั้งร้านค้าสมัยใหม่และร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ ขณะที่ปกติยอดขายในไทยอยู่ที่ราวปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัท METRO Vietnam ในปี 56 ยังมีผลขาดทุนอยู่เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผู้บริหาร
นอกจากนั้น ยังเป็นการสนับสนุนการขยายธุรกิจของ BJC ในภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 เนื่องจากบริษัทได้ร่วมลงทุนบริหารร้านสะดวกซื้อ M-point mart ในประเทศลาวด้วย และยังมีแผนจะขยายธุรกิจค้าปลีกไปยังกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีเป้าหมายเป็นเครือข่ายร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ทั้งในเวียดนามและลาว พร้อมกับมีธุรกิจที่ครอบคลุมต้นน้ำและปลายน้ำทั้งโรงงาน ธุรกิจกระจายสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้า ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก
"การซื้อกิจการครั้งนี้เป็นไปตามแผน 5 ปีข้างหน้า ยอดขายต่างประเทศจะใกล้เคียงในไทยหรือ 50:50 จากการซื้อธุรกิจครั้งนี้เปลี่ยนสภาพ BJC ไป ทำให้ BJC สามารถเต็มเต็มธุรกิจ supply chain ในเวียดนามจากเดิมมีโรงงานผลิตกระป๋อง ขวดแก้ว มีร้านสะดวกซื้อ B’s mart 95 สาขา การซื้อครั้งนี้จะได้ร้านค้าอีก 19 ร้านค้า ใน 14 จังหวัดของเวียดนาม ครอบคลุมทั้งภาคเหนือที่มี 6 ร้านค้า กลาง 7 ร้านค้า และใต้ 6 สาขา ก็จะกลายเป็นผู้เล่นอันดับ 2 ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสมัยใหม่ และเป็นที่ 1 ถ้าไม่นับรวมรัฐบาล โดยมีพื้นที่ 1.1 แสนตารางเมตร ในภาคเหนือก็มีโกดังสินค้าอยู่ ภาคกลางก็สามารถกระจายสินค้าได้ครบ เชื่อมโยงไปยังประเทศลาว กัมพูชาได้ไม่ยาก เมื่อได้ตลาดเวียดนามก็เหมือนได้ลาวและกัมพูชาในอนาคต" นายอัศวิน กล่าว
นายอัศวิน กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ BJC พร้อมจะให้การสนับสนุนด้านการจัดการโครงสร้างแหล่งเงินทุนสำหรับการเข้าทำรายการครั้งนี้ ซึ่งราคาซื้อกิจการถือว่าเหมาะสม ส่วนระยะเวลาคืนทุนนั้นบริษัทจะมีประชุมคณะกรรมการบริษัทวันที่ 19 ส.ค.นี้เพื่อพิจารณารายละเอียดและขออนุมัติ และขอความเห็นจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระอีกครั้ง ธุรกรรมครั้งนี้มีทั้งทุนที่ต้องใช้และต้องหาแหล่งเงินกู้
"ดีลนี้บริษัทได้ทำการบ้านอย่างดีแล้วเพราะเกี่ยวกับโครงสร้างการลงทุน เม็ดเงินที่เข้าซื้อถือว่าคิด IRR อย่างละเอียดแล้ว ซึ่ง BJC มีบริษัททีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นราว 75% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ก็เชื่อว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่จะสนับสนุนทางการเงินเต็มที่...ราคาที่ซื้อเป็นราคาที่เหมาะสม และโอกาสที่จะคุยกับคนอื่นก็จะง่ายขึ้น หลังเข้าซื้อเมโทรฯ ได้แล้ว แต่กว่าจะจ่ายเงินก็คงปี 58 อยากให้มองระยะยาวมากกว่า"นายอัศวิน กล่าว
นายอัศวิน กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนปกติที่ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมงบลงทุนเพื่อซื้อกิจการใหม่ ซึ่งเตรียมไว้จะใช้สร้างโรงงานในไทย นอกจากนี้บริษัทยังมีการเจรจาซื้อธุรกิจเพิ่มเติมอีกด้วย