ในส่วนของโรงงานสำเร็จรูปให้เช่า TICON จะเปิดตัวโครงการใหม่ ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด โครงการนี้มีขนาดพื้นที่รวม 107 ไร่จะพัฒนาเป็นโรงงานสำเร็จรูปขนาดตั้งแต่ 550-4,200 ตารางเมตร จำนวนทั้งสิ้น 41 ยูนิต โดยเฟสแรกของโครงการดังกล่าวจะสามารถเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่เดือนกันยานนี้ นอกจากนี้ TICON จะเดินหน้าพัฒนาโรงงานเพิ่มบนที่ดินที่ได้จัดเตรียมไว้ในปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้ตกลงซื้อที่ดินเพิ่มอีก 290 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จังหวัดชลบุรี
TICON คาดว่าการดำเนินงานช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เป็นผลจากสภาวะการเมืองและนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความชัดเจนขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการกลับมาเดินหน้าลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ชะลอไว้ อีกทั้งจากการที่ไทคอนได้ร่วมเดินสายโรดโชว์ไปกับตลาดหลักทรัพย์และ สถาบันการเงินต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่น ให้ความสำคัญกับไทยในด้านการเป็นฐานการผลิต และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน
ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา TICON ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ Yokohama Industrial Development Corporation - IDEC ประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้การสนับสนุน เอสเอ็มอี จากญี่ปุ่นในการเข้ามาลงทุน ในประเทศไทย โดยไทคอนจะเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเช่าโรงงานและการจัดหาสิ่งที่จำเป็น สำหรับการตั้งโรงงาน ในประเทศไทยผ่านการจัดสัมนาซึ่ง IDEC จัดให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศญี่ปุ่น ที่สนใจจะมาลงทุนในไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมพลาสติก
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ กลุ่ม TICON สร้างพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นอีก 100,000 ตารางเมตร และคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นอีก 250,000-300,000 ตารางเมตร เพื่อเตรียมรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น และการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 58 โดยยังคงเป้าหมายเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวม 250,000 ตารางเมตรภายในสิ้นปี 57 และได้ปรับลดการขยายพื้นที่โรงงานให้เช่าเหลือ 70,000 ตารางเมตร จากเดิม 100,000 ตารางเมตร
ด้านนายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค (TPARK) กล่าวว่า ในรอบครึ่งแรกของปี 57 ธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ายังคงไปได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการที่กำลังซื้อโดยเฉพาะใน เมืองใหญ่ๆตามภูมิภาคของประเทศไทยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเตรียมรองรับการขยายตัวของ ภาคธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค Modern Trade กลุ่มผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ และวัสดุก่อสร้าง เมื่อมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 58 ทั้งนี้ TPARK ยังคงใช้กลยุทธ์หลักที่เน้นความพร้อมใช้ (Availabilities) อย่างต่อเนื่อง
TPARK ได้เดินหน้าตามแผนขยายธุรกิจไปยังทั่วทุกภาคของประเทศ โดยใช้งบประมาณ 3,600 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3-5 ปี ในการพัฒนาโครงการเขตอุตสาหกรรมโลจิสติกส์บนที่ดินที่ได้จัดเตรียมไว้ ในจังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 173 ไร่ สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 70 ไร่ และลำพูน เนื้อที่ 162 ไร่ ซึ่งเมื่อโครงการทั้งสามแห่ง เสร็จสมบูรณ์จะทำให้ TPARK มีพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นรวมทั้งสามโครงการอีกกว่า 300,000 ตารางเมตร โดยจะมีพื้นที่คลังสินค้าพร้อมทยอยให้เช่าได้เริ่มตั้งแต่ไตรมาสสองของปี 58 เป็นต้นไป
สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ TPARK จะยังคงเดินหน้าขยายพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าใน โครงการที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในเขตบางพลี บางนา และวังน้อย ซึ่งมีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้ง การให้บริการด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง โดยมั่นใจว่าจะเพิ่มพื้นที่คลังสินค้า ให้เช่าได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็ยังคงสานต่อการเจรจาขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบอาเซียน
ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจ TPARK จะเน้นการพัฒนาคลังสินค้าที่มีรูปแบบและคุณภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า (Built to Suit: BTS) โดยลูกค้าของกลุ่ม BTS เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 10,706 ตารางเมตรในปี 51 เป็น 267,000 ตารางเมตร ในปัจจุบัน