(เพิ่มเติม) PTTGC ตั้งบริษัทร่วมทุน"เปอร์ตามินา"สร้างฐานตลาดกลุ่มโพลิเมอร์ในอินโดฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 13, 2014 16:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC)จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ PT Indo Thai Trading(ITT) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ PT Pertamina โดย PTTGC ถือหุ้น 49% เพื่อขยายตลาดกลุ่มโพลิเมอร์ในประเทศอินโดนีเซียตอบสนองความต้องการในผลิตภัณฑ์โพลิเอธิลีน โพลิโพรพิลีน และโมโนเอธีลีนไกคอล ระยะแรกจะนำสินค้าของทั้งสองบริษัทไปจัดจำหน่ายเพื่อสร้างฐานการตลาดรองรับโครงการร่วมทุนสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ กำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี ที่อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดโครงการมีเป้าหมายแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการในปี 63

นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการตัดสินใจลงทุนเบื้องต้น(PID)ในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เมืองบาลากองของอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดเกี่ยวกับรูปแบบการก่อสร้าง พันธมิตร มูลค่าการลงทุนภายใต้กำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านตันต่อปีในช่วงต้นปี 58 เบื้องต้นคาดว่ามูลค่าการลงทุนรวมโรงกลั่นน่าจะอยู่ที่ 7-8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากแผนเดิมที่มีเพียงโรงงานปิโตรเคมีเพียงอย่างเดียวมูลค่า 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะเริ่มสามารถก่อสร้างได้ในปี 59 และแล้วเสร็จในปี 63

"เรามองว่าอินโดนีเซียมีความต้องการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่มาก ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน หากมีการลงทุนสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.6 แสนบาร์เรลต่อวัน จะเพียงพอต่อความต้องการใช้ทั้งภาคการผลิตน้ำมันและปิโตรเคมี คาดว่ารายละเอียดจะเคาะแบบโครงสร้างผู้ถือหุ้น โครงสร้างการก่อสร้าง การหาพันธมิตรร่วมทุนได้ในต้นปี 58 ขณะนี้ยังไม่รู้จะเป็นพันธมิตรกับกลุ่มไทยออย ปตท.เอง หรือจะเป็นทางอินโดนีเซีย และคาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 59 และน่าจะแล้วเสร็จได้ในปี 63"นายบวร กล่าว

ส่วนเงินลงทุนของโครงการดังกล่าวจะมาจากเงินกู้สถาบันทางการเงิน เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)เพียง 0.3 เท่าในขณะนี้ โดยบริษัทฯยืนยันว่าไม่มีแผนเพิ่มทุนเพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว

ด้านนายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน PTTGC กล่าวว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรก่อนหักภาษี (EBITDA Margin) ในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 10-11% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 8% เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยปัจจุบันมีการปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับกว่า 500 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากในข่วงไตรมาส 2/57 ส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับคอนเดนเสทลดลงมาอยู่ที่ 333 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งจะทำให้ EBITDA Margin ทั้งปีขยับขึ้นไปอยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 10%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ