"2 ปัจจัยหลักนี้ จะส่งผลทำให้ยอดรวมกำไรปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 และต่อเนื่องไปเรื่อย" นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าว
การควบรวมกิจการกับธนบรรณเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ บริษัทฯ สามารถเพิ่มยอดรวมสินเชื่อเช่าซื้อทั้งหมดทันทีได้ถึง 30% โดยเพิ่มจากเดิมประมาณ 4.7 พันล้านบาท รวมยอดสินเชื่อเช่าซื้อของธนบรรณประมาณ 1.5 พันล้านบาท เป็นยอดรวมกว่า 6.2 พันล้านบาท และในขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ GL เริ่มเจาะตลาดใหม่ด้านธุรกิจเงินด่วนสำหรับรถจักรยานยนต์มือสอง ซึ่งให้มาร์จินกำไรสูงกว่าธุรกิจเช่าซื้อเดิม ดังนั้น บริษัทฯ จึงคาดหวังว่ายอดสินเชื่อรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ประกอบกับบริษัทฯ ลูกที่กัมพูชา ที่จะเริ่มบันทึกกำไรส่งผลทำให้กำไรโดยรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่าจะทำกำไรทั้งปีได้สูงกว่า 300 ล้านบาท
"ตัวเลขดังกล่าวอาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่ากับสถิติกำไรสูงสุด เมื่อปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ บันทึกกำไรสุทธิได้สูงถึง 357.38 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวบ่งบอกถึงกำไรที่จะพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา"
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/57 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 6.94 ล้านบาท ซึ่งลดลงจาก 90.84 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปีก่อน หรือลดลงมากถึง 92.36% ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการตั้งหนี้สูญและหนี้เผื่อสงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นมากถึง 56.63% จาก 86.36 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว เป็น 135.27 ล้านบาทในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของบริษัทฯ แม่เกือบทั้งสิ้น โดยบริษัทฯ ย่อยในกัมพูชามีการตั้งหนี้เผื่อสงสัยจะสูญเพียง 2.02 ล้านบาท ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีมาก
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าวว่า บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องตั้งหนี้สูญและหนี้เผื่อสงสัยจะสูญเป็นจำนวนมากต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังซบเซา อันเป็นผลสืบเนื่องจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนกระทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญทำให้ปัจจัยพื้นฐานของ กรุ๊ปลีส ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัท ก็ยังขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อันเห็นได้ชัดจาก รายได้ดอกผลเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้นถึง 19.69% ในไตรมาสที่ 2 หรือเพิ่มขึ้นจาก 303.81 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว เป็น 363.64 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปีนี้
“เรามีความมั่นใจมาตลอดและขยายธุรกิจของเราอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการขยายฐานเพื่อเราจะได้สามารถทำกำไรได้อย่างเต็มที่ในอนาคต เมื่อสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน" นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าว