ปัจจุบัน CCN ดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ ธุรกิจจำหน่าย และวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System Integration : IT-SI) ซึ่งครอบคลุมการบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง อบรม ดูแลบำรุงรักษาระบบงาน จัดหาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบเบ็ดเสร็จ และธุรกิจให้เช่าเครื่องพิมพ์และคอมพิวเตอร์ (Printer and Computer Rental Services) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรให้ได้หลากหลายมากขึ้น
“บริษัทมีความพร้อมในทุกๆด้านแล้วที่จะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้มีโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นไป ขณะเดียวกันเรายังมีงานในมืออีกจำนวนมาก และยังเดินหน้าหางานใหม่ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ให้มากยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งผลให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน"นายวิรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายในการพัฒนาธุรกิจเพื่อก้าวสู่ความเป็นบริษัทชั้นนำด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) แบบครบวงจร พัฒนานวัตกรรม สินค้า และบริการให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อีกทั้งยังคงรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเดิมและแสวงหาโอกาสในการขยายฐานการตลาดให้เพิ่มมากขึ้น และพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ ความรู้ ความสามารถ ควบคู่กับการให้บริการทันสมัย สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีได้ตลอดเวลา
สำหรับโครงสร้างการถือหุ้นภายหลังเสนอขายหุ้นต่อประชาชนของ CCN คือ นายวิรัตน์ หลังเสนอขายหุ้น IPO ลดเหลือ 22.58% นายอภิสิทธิ์ หงส์ลาวัณย์ หลังเสนอขายหุ้น IPO ลดเหลือ 17.89% นายดุลภาค เพ่งพันธ์พัฒน์ หลังเสนอขายหุ้น IPO ลดเหลือ 16.81% นายระบิล กลั่นสกุล หลังเสนอขายหุ้น IPO ลดเหลือ 16.63% และเสนอขายประชาชน 26.09% หรือจำนวน 60,000,000 หุ้น
ด้านนายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.คันทรี่ กรุ๊ป(CGS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ CCN เปิดเผยว่า CCN ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่มีคุณภาพ มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แนวโน้มการเติบโตที่ดี และการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในครั้งนี้จะช่วยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นเสริมศักยภาพทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้า ซึ่งจะทำให้กลายเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
“CCN ถือเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสในการขยายธุรกิจในอนาคตได้อีกมาก ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจต่างๆ มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และแข่งขันสูงขึ้น ทำให้มีความต้องการนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เข้ามาช่วยเสริมพัฒนาศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ"นายชูพงศ์ กล่าว