นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.มิลล์คอน สตีล (MILL) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างหาพันธมิตรที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP โดยเน้นผู้ลงทุนที่มีศักยภาพทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และ พม่า รวมทั้งนักลงทุนในประเทศที่สนใจ คาดว่าจะออกหุ้นเพิ่มทุน PP ในวงเงินที่เหลืออีกไม่เกิน 500 ล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาเม็ดเงินลงทุนที่จะใช้เข้าซื้อทรัพย์ของ TSSI โดยจะประเมินเบื้องต้นจากการเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งมองว่าหากต้องการเงินทุนมากกว่า 100 ล้านบาทก็จำเป็นต้องออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขาย PP
การซื้อกิจการ TSSI จะทำให้ปี 58 ผลประกอบการของ MILL พลิกกลับเป็นกำไรเทิร์นอะราวด์ เพราะจะทำให้กำลังการผลิตเหล็กรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.7-1.8 ล้านตัน/ปี จากปัจจุบัน 1.2-1.3 ล้านตัน/ปี เนื่องจาก TSSI มีกำลังผลิต 5 แสนตัน/ปี และเป็นโรงงานผลิตเหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งมี EBITDA Margin สูงถึง 15-16% ขณะที่เหล็กธรรมดาอยู่ที่ 6-7% ดังนั้น ผลผลิตของ TSSI จะช่วยดึงมาร์จินเฉลี่ยของบริษัทในปีหน้าให้สูงขึ้นเป็น 10% ได้
อีกทั้ง บริษัทจะสามารถขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจจากสถานการณ์ในประเทศ จากปัจจุบันที่ MILL มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่กว่า 10% อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศก็เริ่มดีขึ้น และมีความคาดหวังความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นจากโครงการลงทุนใหม่ๆของภาครัฐหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้ามาบริหารประเทศ
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะยังคงขาดทุนอยู่ แต่จะขาดทุนลดลงจากปี 56 ที่มีผลขาดทุนสูงถึง 114 ล้านบาท และถึงแม้ครึ่งปีแรกจะมีผลขาดทุน แต่ครึ่งปีหลังแนวโน้มผลประกอบการน่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้าในครึ่งปีแรกก็จะมาซื้อในช่วงครึ่งปีหลังแทน จึงคาดว่ากำลังการผลิตน่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ 80-90% ในช่วงครึ่งปีหลัง จากไตรมาส 1/57 อยู่ที่ 60% และไตรมาส 2/57 ต่ำกว่า 60%
เช่นเดียวกับรายได้รวมที่บริษัทตั้งเป้าเติบโต 10% ในปีนี้ จากปีก่อนมีรายได้ราว 1.4 หมื่นล้านบาท เพราะแม้ว่าครึ่งปีแรกรายได้จะลดลง 10% แต่คาดหวังว่าครึ่งปีหลังยอดขายจะกลับมาเติบโตจากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโครงการลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้น อีกทั้งครึ่งปีหลังโรงงานกรีนมิลล์ผลิตเหล็กเกรดพิเศษจะทำงานสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยตั้งเป้าปริมาณขายปีนี้เพิ่มขึ้น 10% เป็น 7.7 แสนตัน จากปี 56 ทำได้เกือบ 7 แสนตัน
"ปีนี้ลุ้นไตรมาส 3-4 ที่เราจะเอายอดขายคืนมาและปั๊มรายได้ขึ้นไป จากครึ่งแรกขาดทุนไปเยอะ เชื่อว่าจุดเลวร้ายของธุรกิจผ่านไปแล้วในไตรมาส 2 ส่วนทั้งปีจะเป็นกำไรหรือไม่คงยากลำบาก เพราะราคาเหล็กยังผันผวนอยู่ ครึ่งแรกที่ 19 บาท/ก.ก. คาดเฉลี่ยทั้งปีที่ 19.8 บาท/ก.ก. ปีนี้คงทำได้แค่ขาดทุนลดลง แต่ปี 58 จะเทินอราวน์ พลิกเป็นกำไร เมื่อการผลิตของ TSSI เกิดขึ้นก็จะเป็นผลกระทบทางบวกต่อบริษัท การผลิตเหล็กเกรดพิเศษที่จะได้ราคาสูงขึ้น"นายสิทธิชัย กล่าว
สำหรับการร่วมทุนกับ บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEL) ตั้งบริษัทในพม่านั้นอยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทคาดเสร็จในปีนี้เพื่อสร้างโรงงานผลิตเหล็กรองรับการขายในประเทศพม่า รวมถึงตลาดทางภาคเหนือของไทย ภายใต้กำลังการผลิต 5 หมื่นตันต่อปี
นายสิทธิชัย ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าบริษัทซื้อสินทรัพย์โดยผิดกฎหมายและอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดีว่า บริษัทยืนยันว่าได้ทำการซื้อสินทรัพย์จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) มาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดยที่ดินที่มีปัญหาดังกล่าวซื้อมาในราคา 4.9 ล้านบาท จำนวน 4 ไร่ จาก บสท.ที่ขายทอดตลาด
และยังปฏิเสธข่าวลือว่าหนีคดีไปว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตนเองต้องเดินทางไปต่างประเทศตลอดเวลา ซึ่งตามโปรแกรมขยับการเดินทางไม่ได้ และยินดีที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อศาล ขั้นตอนจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับศาลจะนัดไต่สวนเมื่อไร หรือศาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท เพราะสถาบันการเงินหลักยังยินดีจะสนับสนุนทางการเงิน และประเมินกรณีเลวร้ายสุดก็อาจจะต้องจ่ายค่าปรับเพียง 4.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ซื้อที่ดินมา
"เราเชื่อมั่นล้านเปอร์เซนต์ว่าเราโปร่งใส ถูกต้อง มีรายงานการประชุมทุกอย่าง ธุรกิจก็ยังเติบโตขึ้น การกู้เงินก็ดีมาตลอดไม่มีปัญหา โรงงานก็ยังเดินเครื่องการผลิตได้"นายสิทธิชัย กล่าว