“EBITDA ในปีนี้คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากที่เราเคยตั้งเป้าไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท เพราะว่าในครึ่งปีหลังราคาน้ำมันเริ่มนิ่งมากขึ้นและโครงการไบโอและโซลาร์ของเราก็รับรู้รายได้เต็มทุกเฟส"นายพิเชษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ รายได้ของ BCP มีสัดส่วนมาจากพลังงานทดแทน 25% และรายได้จากการกลั่น 50% ส่วนรายได้จากค่าการตลาดคิดเป็น 20% เศษ โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าค่าการกลั่น ไม่รวมสต็อกน้ำมัน จะอยู่ที่ 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าการตลาดราว 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้มองภาพ EBITDA ณ ขณะนี้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้
สำหรับค่าการกลั่น(GRM) ในปีนี้สูงกว่าบริษัทอื่นราว 1-2 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยในปี 57 ไม่สูงมาก ซึ่งอยู่ที่ 100-105 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ปริมาณการกลั่นเฉลี่ยในปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 9-9.4 หมื่นบาร์เรล/วัน จากกำลังการกลั่น 1-1.1 แสนบาร์เรล/วัน
นายโชคชัย อัศวรังสฤษฎ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ BCP กล่าวถึงการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท นิโด้ ปิโตรเลียม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในออสเตรเลียว่า เบื้องต้นการซื้อหุ้นที่ 19.66% คิดเป็นมูลค่า 22 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือราว 660 ล้านบาท แต่บริษัทได้ตั้งเป้าการซื้อหุ้นเพิ่มเป็นอย่างน้อย 90% ซึ่งจะมีข้อสรุปในวันที่ 19 ก.ย.57 คาดว่าจะต้องใช้เงินทั้งหมดราว 120 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือราว 3.6 พันล้านบาท
“ล็อตแรกเราได้ซื้อหุ้นไปแล้ว 19.66% มูลค่า 22 ล้านเหรียญออสเตรเลีย แต่เราตั้งเป้าที่จะซื้อหุ้นนิโด้ไปถึง 90% ซึ่งก็ต้องทำ Tender Offer โดยเราจะรู้ว่าได้จำนวนหุ้นเท่าไหร่ และใช้เงินประมาณเท่าไหร่ในวันที่ 19 ก.ย. นี้ ทางเราก็ประมาณวงเงินที่ต้องใช้ทำ Tender Offer รวมเงินที่ซื้อหุ้นล็อตแรกอยู่ราวๆ 120 ล้านเหรียญออสเตรเลีย"นายโชคชัย กล่าว
นายพิเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีที่บมจ.ปตท. (PTT) อาจจะขายหุ้นของ BCP ออกไปว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากการเข้าถือหุ้น BCP ของ PTT เป็นการทำสัญญาเชิงการค้าที่เอื้อผลประโยชน์ของทั้ง 2 บริษัท เมื่อ PTT ยกเลิกสัญญาไปแล้วจะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ