ในไตรมาส 2 บจ.mai ยังคงเผชิญการชะลอตัวและความผันผวนของธุรกิจบางกลุ่มธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจทีวีดิจิตอล อยู่ระหว่างการลงทุนในช่วงต้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงรวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิรวมลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ บจ.ใน mai เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 21.06% และ EBITDA หรือกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคายังคงเพิ่มขึ้น 14.27%" นายประพันธ์กล่าว
สำหรับงวด 6 เดือน ปี 57 บจ. mai มียอดขาย 57,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,120 ล้านบาท คิดเป็น 7.71% เนื่องจากต้นทุนขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 10.37% ทำให้มีกำไรขั้นต้นลดลงจาก 22.74% มาอยู่ที่ 20.83% และกำไรสุทธิรวมลดลงจาก 2,913 ล้านบาท เหลือ 1,965 ล้านบาท เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 5.45% เหลือ 3.41% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น 788 ล้านบาท คิดเป็น 11.73%
ทั้งนี้ จากการสำรวจผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ mai พบว่า 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 408 ล้านบาท บมจ. บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) 73 ล้านบาท บมจ. ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) 63 ล้านบาท บมจ. ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) 62 ล้านบาท และ บมจ. โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) 55 ล้านบาท ตามลำดับ
ปัจจุบันมี บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai 101 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 57) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 609.99 จุด เพิ่มขึ้น 70.96 % จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 289,128 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 1,829 ล้านบาทต่อวัน