"มั่นใจครึ่งหลังของปีนี้ดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก ความกดดันด้านค่าวัสดุก่อสร้างและกำลังแรงงานก็ไม่มี"นายปลิว กล่าว
บริษัทยังคาดว่าในเดือนต.ค.นี้บริษัทจะลงนามในสัญญาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเฟส 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน มูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท และบริษัทอยู่ระหว่างเจรจางานก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำประปาให้แก่บมจ.น้ำประปาไทย(TTW) มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท และโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำบากที่ สปป.ลาว มูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท
นายปลิว คาดว่า รายได้ของบริษัทจะเติบโตก้าวกระโดดชัดเจนในปี 59 มาที่ 4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)มีนโยบายให้เร่งดำเนินการ คาดว่าจากนี้ไปจะมีการทยอยประมูลโครงการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเริ่มรู้ผลประมูลและลงนามสัญญากันในปี 58 ขณะที่ CK คาดว่าจะมีโอกาสได้รับงานใหม่ประมาณ 20-25%ของมูลค่าโครงการที่ภาครัฐเปิดประมูล โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและบุคคลากรไว้แล้ว
"หลังเกิดโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รายได้เราจะขยายไป 4 หมื่นล้านบาทต่อปี จากที่มีรายได้ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี เราได้เตรียมความพร้อม ถึงแม้จะชนะการประมูล แต่ขีดความสามารถค่อนข้างมีจำกัดเหมือนกัน เพราะเราต้องการมั่นใจได้ว่า เราสามารถทำให้งานเกิดผลสำเร็จได้ให้ได้ตามเป้าหมาย"นายปลิว กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายปลิว ยืนยันว่า แม้จะมีโครงการงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากในช่วงต่อจากนี้ แต่บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เนื่องจากฐานการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง และที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับพอร์ตการลงทุน โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/57 บริษัทมีส่วนผู้ถือหุ้นสูงถึง 1.8 พันล้านบาท และไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตลงทุนในกลุ่มในเครืออีก ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ที่ 1.7 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/57
แต่หากการเติบโตของบริษัทเพิ่มขึ้นโดยมีรายได้ขยายตัวมาที่ 5-6 หมื่นล้านบาท/ปี ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการลงทุนให้สูงขึ้น
นายปลิว กล่าวว่า ในช่วง 3-5 ปีนี้ CK และบริษัทในกลุ่ม CK มีโอกาสเติบโตก้าวกระโดด โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตอย่างน้อยปีละ 10-15% จากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งไทยยังขาดอยู่อีกมาก และยังมีโอกาสขยายตัวไปได้อีกรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่พม่าและลาวที่ย้งขาดโครงสร้างพื้นฐานอยู่อีกมากเพียง แต่ขณะนี้รัฐบาลของทั้งสองประเทศยังไม่มีงบประมาณเพียงพอ
สำหรับงานในอนาคตเน้นการเข้าร่วมลงทุนดำเนินการกับภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัท โดยเฉพาะงานลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐตามแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยของ คสช. อาทิ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่างๆ โครงการรถไฟฟ้าทางคู่ โครงการทางด่วนและมอเตอร์เวย์ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึก โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการเขื่อนและโรงไฟฟ้า โครงการบริหารจัดการน้ำ
นายปลิว ยังกล่าวถึงการเดินทางไปโรดโชว์ในมาเลเซียช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีผู้จัดการกองทุนจำนวน 20 กองทุนเข้าร่วมรับฟังข้อมูลของ CK รวมทั้ง บมจ.ซีเคพาวเวอร์(CKP) และ บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL) ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้รู้จักบริษัทในกลุ่ม CK ดีอยู่แล้วและสนใจที่จะลงทุนเมื่อเห็นว่าไทยจะโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก
นายปลิว กล่าวว่า ปัจจุบัน มีนักลงทุนต่างชาติลงทุนหุ้น CK ไม่ถึง 25% และบริษัทก็มีนโยบายให้นักลงทุนต่างชาติถือไม่เหิน 25% นอกจากนี้มีพันธมิตรทั้งจากญี่ป่น และเยอรมัน สนใจเข้าร่วมทุนใน CK แต่เห็นว่าไม่มีความจำเป็น โดยที่ผ่านมาก็ร่วมมือกันเป็นโครงการๆ ไป