"การผลิต OEM ให้กับลูกค้าในประเทศญี่ปุ่นคือว่าเป็นครั้งแรก เนื่องจากผู้ประกอบการบริษัทดังกล่าวมั่นใจในศักยภาพของบริษัทฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีต่อบริษัทฯกรณีการเริ่มเข้าไปเจาะตลาด OEM ในประเทศดังล่าวได้ โดยการผลิตในล็อตแรกบริษัทจะมีรายได้จากการส่งมอบเข้ามาประมาณ 10 ล้านบาท " นายพูลพิพัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยการนำระบบบริหารจัดการแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน หรือ (Total Quality Management:TQM) มาใช้เพื่อสร้างพื้นฐานความเป็นบริษัทที่มีมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้การบุกตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันลูกค้าต่างประเทศของ QTC ได้แก่ ลูกค้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย และยุโรป
ส่วนความคืบหน้าการขยายธุรกิจในลาวนั้น นายพูลพิพัฒน์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาบริษัทเข้าประมูลงานในสปป.ลาว มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าทราบผลในเร็วๆนี้
นายพูลพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังเตรียมความพร้อมในการประมูลงานภาครัฐ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่เลื่อนการประมูลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับ ช่วงไตรมาส 3-4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ บริษัทจึงมั่นใจว่าคำสั่งซื้อสินค้าจะทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าประมูลงานภาครัฐ รวมถึงการเปิดตัวของโครงการใหม่ๆ
จากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้น ส่งให้บริษัทฯคาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักจะมาจากยอดขายในประเทศ ประมาณ 80% แบ่งเป็นงานภาครัฐ 30% ส่วนอีก 70% เป็นงานภาคเอกชน ขณะสัดส่วนรายได้อีก 20% มาจากต่างประเทศ
สำหรับผลการดำเนินในงวดไตรมาส 2/57 บริษัทมีรายได้รวม 140.39 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 175.81 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 20.14 โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 4.25 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้