นายฟรานซิส แวนแบลเลน กรรมการผู้จัดการ PDI กล่าวว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทอยู่ภายใต้นโยบายมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green. Business) เพื่อสร้างลกำไรและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งบริษัทได้จัดโครงสร้างธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.พีดีไอ แมททีเรียล (PDI Materials) ให้บริการด้านผลิตภัณฑ์โลหะเพื่อการพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืนโดยขั้นต้นจะเน้นผลิตภัณฑ์สังกะสีที่มีมูลค่าเพิ่มเช่นโลหะปสม, อัลลอยส์ 2.พีดีไอ อีโค (PDI. Eco) ดำเนินธุรกิจจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมเชิงนิเวศซึ่งไม่ใช่การฝังกลบแต่มุ่งเน้นการรีไซเคิลและเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และ 3. พีดีไอเอ็นเนอร์ยี่(PDI Energy) ที่จะก่อสร้างและบริหารโรงงานผลิตพลังงานทดแทน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล
"การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ PDI ในรอบระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒยาเชิงกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว"นายฟรานซิส กล่าว
สำหรับเงินลงทุนเบื้องต้น 1,500 ล้านบาทใน 3 โครงการจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 1 พันล้านบาท
นายฟรานซิส กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ในที่ดินเดิมของบริษัทที่เป็นเหมืองสังกะสีใน จ.ตาก โดยใช้พื้นที่ทั้งหมด 420 ไร่ ขนาดกำลังการผลิตรวมทั้งโครงการ 90 เมกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะมีขนาดกำลังการผลิต 24 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา เป็นพื้นที่เช่าสัญญา 25 ปี จำนวน 25 ไร่ ทั้งสองโครงการได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว รอเพียงความชัดเจนของนโยบายภาครัฐที่จะสนับสนุนด้านพลังงานทดแทนหลังจากมีการทบทวนแผนพีดีพีรอบใหม่
ขณะที่โครงการโรงกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมนั้น บริษัทจะใช้พื้นที่ของโรงย่างแร่ที่ จ.ระยอง โดยจะทำการศึกษารายละเอียดของโครงการ คาดว่าได้ข้อสรุปภายในเดือน ต.ค.-พ.ย.57 นี้ จากนั้นจะทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA) คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง และคาดว่าจะใช้เวลาปรับปรุงโรงงานราว 6 เดือน
นายฟรานซิส กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะยุติธุรกิจโลหะสังกะสีภายใน 2-3 ปีนี้ หรือภายในปี 59-60 หลังจากที่เหมืองแม่สอดจะหมดอายุสัมปทานในปี 66 ซึ่งบริษัทจะใช้เวลาปลูกป่าก่อนคืนพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีนี้ธุรกิจโลหะสังกะสียังมีแนวโน้มดีจากราคาโลหะสังกะสีโลก(LME)ยังคงอยู่ในระดับสูงและคาดว่าจะมากกว่า 2 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากเหมืองขนาดใหญ่ของออสเตรเลียปิดดำเนินการ ขณะที่ความต้องการฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐ รวมทั้งสต๊อกสังกะสีของตลาดโลกก็อยู่ระดับต่ำที่ 7 แสนตัน จึงคาดว่าธุรกิจโลหะสังกะสีของบริษัทจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ที่จะกลับมามีกำไร และมีกระแสเงินสดเข้าบริษัท
ในปี 57 นี้บริษัทยังคงเป้าปริมาณขายที่ 7.5 หมื่นตันใกล้เคียงปีก่อน แต่คาดว่ารายได้จะสูงขึ้นตามราคาขายที่ดีกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 1,910 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยช่วงครึ่งแรกปีนี้ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาเป็น 2,051 เหรียญสหรัฐ/ตัน และคาดว่าครึ่งหลังปีนี้ราคาขายจะอยู่ที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน และมั่นใจว่าปีนี้จะกลับมามีกำไร หลังจากครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว 314 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 72 ล้านบาท และทั้งปี 56 ที่ขาดทุน 413.4 ล้านบาท
นายฟรานซิส ยังกล่าวว่า บริษัทมีแผนจะย้ายหุ้น PDI ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกจากกลุ่มเหมืองแพร่ หลังจากที่บริษัทยุติธุรกิจโลหะสังกะสีและเปลี่ยนไปสู่ Green Business แต่จะย้ายไปอยู่กลุ่มใดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)จะพิจารณา โดยจากนี้ไป PDI จะมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง