"ปกติกำไรครึ่งหลังจะน้อยกว่าครึ่งแรก เพราะบางโรงไฟฟ้าตามสัญญาจะไม่มีการรับรู้รายได้ แต่ปีนี้น่าจะใกล้เคียงกันเพราะได้มาซินลอคมาเพิ่ม และถึงแม้โรงไฟฟ้าระยองจะหมดสัญญาสัมปทานใน 30 พ.ย.นี้ แต่ก็หายไปแค่เดือนเดียวไม่กระทบผลประกอบการปีนี้ แต่จะกระทบปี 58 เมื่อได้มาซินลอคเข้ามาและโปรเจ็คต์ใหม่ก็น่าจะทดแทนรายได้กำไรที่หายไปได้"นายสหัส กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทใช้เงินลงทุนในโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาไปแล้ว 9,550 ล้านบาทจากงบลงทุนที่เตรียมไว้ทั้งปีนี้ราว 15,300 ล้านบาท ไม่นับรวมเงินลงทุนที่ซื้อโรงไฟฟ้ามาซินลอคที่มีกำลังการผลิต 630 เมกะวัตต์ ประมาณ 14,750 ล้านบาท ซึ่งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว ส่วนครึ่งปีหลังก็จะลงทุนต่อเนื่องในโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนามี 8 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในประเทศ 6 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชนหาดใหญ่, โครงการโรงไฟฟ้าขนอมหน่วยที่ 4, โครงการพลังงานลม ชัยภูมิวินด์ฟาร์ม, โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก 3 โครงการ คือ ทีพีโคเจน เอสเคโคเจน และทีเจโคเจน ส่วนโครงการที่ต่างประเทศ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โบโค ร็อค วินด์ ฟาร์ม ประเทศออสเตรเลีย และ โครงการโรงไฟฟ้าพลังรน้ำ ไซยะบุรี ใน สปป.ลาว
"โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนา เรามั่นใจว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยจะมีโรงไฟฟ้าที่สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้อย่างน้อยปีละ 1 โรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทและทดแทนรายได้ของโรงไฟฟ้าที่กำลังจะหมดสัญญาลง"นายสหัส กล่าว
ปัจจุบัน EGCO มีโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 21 แห่ง คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 4,759 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา จำนวน 8 โครงการ คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 1,613 เมกะวัตต์
นายสหัส กล่าวว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้ามาซินลอคเฟส 2 ที่มีความสามารถเพิ่มการผลิตไฟฟ้าได้อีก 300-600 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปแผนการลงทุนภายในสิ้นปีนี้หลังจากสรุปความต้องการใช้ไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ในอนาคต โดยบริษัทได้มีการตกลงในเบื้องต้นช่วงที่เข้าไปซื้อกิจการ ซึ่งบริษัทจะก็ยังคงสัดส่วนหุ้นไว้เท่าเดิมและมีความพร้อมที่จะใส่เงินลงทุนเพิ่ม
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินมาซินลอคมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้ากับมะนิลา อิเล็กทริค คัมปานี ตลอดจนผู้จำหน่ายไฟฟ้ารายย่อย และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมต่างๆ ในสัดส่วน 70%, 20% และ 10% ตามลำดับ
นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมยื่นประมูลเพื่อขยายกำลังการผลิตโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมโบโค ร็อค เฟส 2 ในออสเตรเลียอีก 30 เมกะวัตต์ ในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้ คาดรู้ผลสิ้นปีนี้ ประเมินเบื้องต้นว่าจะใช้เงินลงทุนเมกะวัตต์ละ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนโรงไฟฟ้าระยองที่จะหมดสัญญาสัมปทานในวันที่ 30 พ.ย.57 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาจากทางการว่าจะต่ออายุสัญญาหรือไม่ ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการยกเลิกสัญญา โดยศึกษารูปแบบที่จะนำพื้นที่ดังกล่าวราว 500 ไร่มาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมและสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก(SPP) เนื่องจากมีสายส่งอยู่แล้ว คาดว่าจะร่วมทุนกับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก
นายสหัส กล่าวว่า จากนี้ไปบริษัทต้องระมัดระวังการใช้เงินลงทุนมากขึ้น หลังจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ปรับขึ้นมาที่ 0.6 เท่า จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 0.4 เท่า หลังจ่ายเงินซื้อโรงไฟฟ้ามาซินลอค เมื่อเดือน ก.ค.57 ซึ่งเป็นการกู้จากสถาบันการเงินทั้งหมด โดยตามนโยบายของบริษัทจะต้องดูแลไม่ให้ D/E เกิน 1.5 เท่า
"ตอนนี้ DE ของบริษัทเริ่มบาลานซ์การเงิน ใกล้จุดที่จะต้องดูแลเพื่อป้องกันความเสี่ยงไม่ควรลงทุนมากมายนัก ต้องประคองไว้ แต่โครงการใหม่ๆ ที่ดูอยู่ก็ยังดูอยู่ แต่ก็ต้องดูฐานะการเงินควบคู่กับโปรเจ็คต์ใหม่ เพราะพอกู้หนี้เพิ่มดอกเบี้ยก็เริ่มเยอะ ต้องระวังเรื่องพวกนี้ด้วย ขณะที่หลายโปรเจ็คต์เป็นกรีนฟิลล์ เงินก็ยังไม่มีเข้ามาเป็นรายได้ในระยะ 1-2 ปีนี้ โดยบริษัทจะกู้อย่างเดียว ตอนนี้ต้นทุนดอกเบี้ยที่ 4-5% ยังเป็นระดับต่ำ"นายสหัส กล่าว
ก่อนหน้านี้ EGCO ยังลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ในจังหวัดเคซอนของฟิลิปปินส์ กำลังการผลิต 455 เมกะวัตต์ โดยบริษัท ซาน บัวนาเวนทูรา พาวเวอร์ จำกัด ซึ่ง EGCO ถือหุ้นทางอ้อม 49% ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับมะนิลา อิเล็กทริค คัมปานี ที่เป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้ารายใหญ่ของฟิลิปปินส์ เป็นระยะเวลา 20 ปี นับจากวันที่เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ โดยสัญญาดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานของฟิลิปปินส์
นายสหัส กล่าวว่า กำไรของบริษัทในปี 59 คงจะไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเข้ามาเพิ่ม เพราะมีภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่โรงไฟฟ้าเก่าก็สร้างกำไรลดลง มีสิ่งใหม่ก็แค่พอพยุงทดแทน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเป้าหมายรักษา ROE ไม่ต่ำกว่า 10% ทุกปี