บริษัทยังคาดว่ากำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ในปี 57 จะสูงขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศครึ่งปีหลังเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และภาวะตลาดในต่างประเทศโดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาคึกคักขึ้น เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ และญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มที่ดี ขณะที่ยุโรปแม้ว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับทรงตัว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทมากนัก
ประกอบกับ ค่าเงินบาทในระดับประมาณ 32 บาท/ดอลลาร์ถือว่ามีความเหมาะสมและมีสเถียรภาพพอสมควร ซึ่งส่งผลดีต่อบริษัท รวมทั้งราคาทูน่าขณะนี้ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1,500 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเมื่อเดือน ก.ค.57 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,800 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปี 56 ที่ราคาเฉลี่ยสูงถึง 1,950 เหรียญสหรัฐ/ตัน ด้านผลผลิตกุ้งก็ปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรกหลังจากผ่านสุดต่ำสุดไปแล้ว และปีนี้น่าจะมีกำไร
"เรามองว่าครึ่งปีหลังทุกอย่างจะเริ่มกลับเข้าสู้ภาวะปกติ ซึ่งเป็นมุมมองที่ดี และคาดว่าผลการดำเนินงานก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ 4 พันลานเหรียญสหรัฐ ขณะที่ภาพรวมตลาดต่างประเทศโดยรวมโอเค ราคาวัตถุดิบจากเดิมที่มีความผันผวนมาก ขณะนี้เริ่มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้ชัดในราคาทูน่า ที่ปีนี้เรามองว่าจะเป็นตัวหลักที่จะช่วยให้ Gross profit margin อยู่ในระดับ 15-16% ส่วนผลผลิตกุ้งเริ่มดีขึ้น ครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีก็ยังน้อยกว่าปีก่อน
ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 3.5 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วกว่า 1,300 ล้านบาท โดยใช้ในการดำเนินธุรกิจใน 6 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง และบรรจุกระป๋อง, ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์, ธุรกิจการตลาดภายในประเทศ, ธุรกิจอาหารสัตว์,ธุรกิจกองเรือประมง และธุรกิจพัฒนาสายพันธุ์กุ้งเพื่อจำหน่าย โดยบริษัทมีความพร้อมลงทุน ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ 0.8 เท่า และคาดว่าสิ้นปี D/E จะลดลงเหลือ 0.7 เท่า เนื่องจากครึ่งปีแรกบริษัทใช้เงินทุนค่อนข้างน้อย และไม่มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในช่วงปี 57-58
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมองโอกาสที่จะซื้อกิจการต่างประเทศเพิ่มเติม แต่ยังไม่มีข้อสรุปในขณะนี้