การใช้สิทธิครั้งนี้จะทำให้กลุ่มมิตซุยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 9.1% เป็น 16.7% เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ของกลุ่ม KBS และกลุ่มมิตซุยที่แน่บแน่นยิ่งขึ้น จากนี้ต่อไปทั้งสองกลุ่มจะทำงานใกล้ชิดยิ่งขึ้นเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
"การที่ผู้ถือหุ้นกลุ่มมิตซุยใช้สิทธิ์แปลงวอแรนต์เป็นหุ้นสามัญเต็มทั้งจำนวนในราคา 12.70 บาท/หุ้น แม้วอแรนต์ดังกล่าวจะอยู่ในสถานะ Out-of-the Money แสดงถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มมิตซุยที่มีต่อบริษัท บริษัทจะใช้เงินทุน 635 ล้านบาท ที่ได้จากการใช้สิทธิครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนหลักของบริษัท เพื่อมุ่งสู่การเป็นชูการ์เอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อย่างสมบูรณ์"นายทัศน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขยายการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มศักยภาพให้แกร่งยิ่งขึ้น ภายใต้แผนงาน"ชูการ์เอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์"สมบูรณ์ภายในปี 58/59 หรืออย่างช้าในปี 59/60 โดยบริษัทจะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตอีก 12,000 ตันอ้อย/วัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 50% ของกำลังการผลิตปัจจุบัน และสร้างโรงงานผลิตเอทานอลกำลังการผลิต 200,000 ลิตร/วัน ทั้งสองโครงการจะต้องใช้เงินลงทุนรวม 4,291.7 ล้านบาท โดยบริษัทได้รับการสนับสนุนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นแหล่งเงินทุนหลัก ประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่มบริษัท รวมถึงเงินเพิ่มทุนที่ได้จากการใช้สิทธิของกลุ่มมิตซุยในครั้งนี้
สำหรับกลุ่มมิตซุย เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของ KBS ตั้งแต่เดือน ก.พ.56 และมีสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจต่อกัน โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาธุรกิจน้ำตาลและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเสริมศักยภาพและมูลค่าเพิ่มให้ KBS ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายน้ำตาลระหว่างกันเพื่อส่งเสริมจุดแข็งในการเป็นผู้นำในตลาดน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเทคนิคและประสิทธิภาพการผลิต และการร่วมมือด้านการตลาดในการจำหน่ายน้ำตาลคุณภาพสูงในตลาดต่างประเทศ
ขณะที่ KBS มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม อ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มมิตซุย จะสนับสนุนสร้างความความได้เปรียบเพิ่มเติมให้กลุ่ม KBS โดยเฉพาะการขยายตลาดในต่างประเทศหลังจากมีการเปิด AEC ในปี 58