นายสุรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ CNT เปิดเผยว่า หลังจากที่สถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวดีขึ้น และงานภาครัฐฯที่เริ่มทยอยออกมา ประกอบกับความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้นช่วยให้มีการลงทุนมากขึ้น ทำให้บริษัทตัดสินใจปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้ขึ้นมาเป็นแตะ 1 หมื่นล้านบาทอีกครั้ง จากที่เคยปรับลดเป้าลงไป โดยปัจจุบันมี Backlog มูลค่า 7,861 ล้านบาทที่จะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ราว 60% และบริษัทยังเตรียมเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าปลายปี Backlog จะเพิ่มขึ้นไปแตะ 1 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้คงจะอยู่ใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรกที่ราว 5.1 % ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 6.9% เนื่องจากงานที่รับมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วถึงช่วงต้นปีนี้มีการแข่งขันด้านราคารุนแรง ประกอบกับ บริษัทต้องตัดค่าเสื่อมโรงงานและเครื่องจักร รวมถึงเทรนด์นิ่ง เซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่องานที่มีผลขาดทุนได้ส่งมอบไปจนครบในช่วงไตรมาส 3/57 นี้
"ถ้าหากงานต่างๆที่ภาครัฐฯได้ประกาศไว้ ออกมาตามแผนได้จริง เราก็จะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและตามเป้าหมายที่วางไว้ที่รายได้และ Backlog จะขึ้นไปถึง 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้เราก็มีเป้าหมายที่จะเข้าไปร่วมทั้งงานรถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า รวมไปถึงงานสนามบินสุวรรณภูมิส่วนต่อขยายด้วย และปีหน้ากำไรเราคงจะดีกว่าปีนี เพราะเราจะเน้นเข้าไปรับงานที่มีมาจิ้นที่สูงขึ้น และงานที่เราขาดทุนอยู่จะส่งมอบได้ในไตรมาส 3/57 นี้ ก็จะช่วยให้เรามีกำไรดีขึ้นได้ด้วย" นายสุรศักดิ์ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวถึงแผนการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 175 ล้านหุ้นว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวเมื่อใด เพราะบริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เป็นเพียงการขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ประกอบกับราคาหุ้นและภาวะตลาดในขณะนี้ยังไม่มีความเหมาะสมเท่าที่ควร
ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับการชักชวนจากนักลงทุนสถาบันประเทศสิงคโปร์ให้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปออกมา เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีแหล่งเงินทุนให้เลือกหลายแหล่งทั้งการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 1.8 เท่า ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงยังมีหุ้นเพิ่มทุนที่ขออนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ด้วย
"ปัจจุบนเรายังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะงานเราก็ยังไม่มากขนาดนั้นและราคาหุ้นปัจจุบันก็ยังไม่เหมาะสม ซึ่งเราก็ต้องรอดูความเหมาะสมและความจำเป็นก่อน และยังได้รับการชักชวนจากนักลงทุนสถาบันประเทศสิงคโปร์ให้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ แต่เราคงมองเป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะเรามองว่าต้นทุนทางการเงินที่ต่ำที่สุดคือการกู้จากสถาบัน และหากมีความจำเป็นจริงเราก็ยังมีหุ้นเพิ่มทุนที่ขอไว้ก่อนหน้านี้อีก"นายสุรศักดิ์ กล่าว