บริษัทฯยังคงเป้ารายได้ในปีนี้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,116.21 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปีปัญหาทางการเมืองในประเทศส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งมีผลมายังตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ ตลาดน้ำมันหล่อลื่น และตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำยาเคมี ซึ่งเป็นลูกค้าหลักในกลุ่มพลาสติกขึ้นรูปและบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทด้วย แต่ครึ่งปีหลังจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทฯจะมีรายได้ของโรงงานพ่นสีใหม่เข้ามาในไตรมาส 3/57
และในช่วงปลายไตรมาส 4/57 จนถึงปี 58 ค่ายรถยนต์เริ่มออกโมเดลใหม่ๆออกมา รวมถึงจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เร่งคืนหนี้โครงการรับจำนำข้าวเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายมอเตอร์ไซค์และยอดขายรถกระบะ อีกทั้งกระตุ้นกำลังซื้อภาคครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลดีต่อคำสั่งซื้อชิ้นส่วนพลาสติกยานยนต์ บรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น และบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำยาเคมี และบรรจุภัณฑ์นมเปรี้ยว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit margin) ในปีนี้จะลดลงมาที่ 16% จากปี 56 อยู่ที่ 18.48% เนื่องจากบริษัทมีภาระค่าเสื่อมราคาและเงินเดือนบุคคลากรที่สูงขึ้น เพื่อเตรียมและทดสอบงานโมเดลของโครงการลงทุนใหม่ รวมถึงราคาเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาขายกลับไม่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงจากโครงการลงทุน
สำหรับปี 58 บริษัทมองว่าผลประกอบการโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ที่มีการคาดการณ์กันไว้ว่าจะเติบโตได้ในระดับ 3-4% และคาดว่าโรงพ่นสีใหม่จะถึงจุดคุ้มทุน และจะรับรู้รายได้เข้ามาราว 150 ล้านบาท ประกอบกับ สัดส่วนรายได้ของธุรกิจชิ้นส่วนยายนต์ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% พร้อมกันนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 200 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องจักรและซื้อเครื่องจักรใหม่เข้ามาทดแทนเครื่องจักรเดิมที่หมดสภาพการใช้งาน ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนค่าไฟฟ้า
"ทิศทางครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรกได้ และไตรมาส 3 ก็น่าจะดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งเราจะมีการรับรู้รายได้ของโรงพ่นสีเข้ามาในปีนี้ 20 ล้านบาท ปีหน้าก็น่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามา 150 ล้านบาท ขณะที่ปี 58 จะเป็นปีที่ดีขึ้น ตาม GDP ที่จะเติบโตในระดับ 3-4% และเชื่อว่าในปี 59-60 จะเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัทฯ"นายวิวรรธน์ กล่าว