ด้านสถานการณ์และมุมมองการลงทุน นายนาวินกล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังโดยยังคงมีมุมมองในเชิงบวก หลังการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากความเชื่อมั่นทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคม ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2556 นอกจากนี้ได้ระบุว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ตามคาดที่ 1.50% ในปีนี้ หากเศรษฐกิจไตรมาส 3 และไตรมาส 4 สามารถขยายตัวได้ 3-4% ขณะที่มองว่าในปี 2558 จะสามารถขยายตัวได้สูงถึง 5.50% ทั้งนี้ต้องจับตามองนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งภาคเอกชนคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อชดเชยภาวะหดตัวจากช่วงความไม่สงบทางการเมืองในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.03% ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 0.06% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ปิดที่ 3.58% ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 0.03% โดยเริ่มมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย ส่งผลให้กดดันอัตราผลตอบแทนลงมา สำหรับทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยยังคงมีแนวโน้มทรงตัว เช่นเดียวกับ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะยังทรงตัวที่ระดับ 2.00% ไปจนถึงสิ้นปีนี้
สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF1YW จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิลและตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี
และ กองทุน KEFF6MAJ จะลงทุนในเงินฝากของ China Construction Bank Corporation เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ VakifBank,ประเทศตุรกี ตราสารหนี้ Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล
ด้านกองทุน KEFF3MQ จะลงทุนในเงินฝากของ China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
ส่วนกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีจี (KFI6MCG) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท