นอกจากนี้ บริษัทยังคงแผนงานที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการรถเมล์ NGV ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้เลื่อนการประมูลออกมาจากที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปี แต่มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเนื่องจากทาง คสช.ได้นำโครงการดังกล่าวมาตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งจะไม่เป็นผลกระทบกับผู้ประมูลได้ในด้านลบภายหลัง
รวมทั้ง งานต่อเรือตรวจการไกลฝั่งให้กับกองทัพเรือ มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการอนุมัติงบประมาณของกองทัพ โดยคาดว่าจะได้รบการอนุมัติในช่วงเดือน ต.ค.57 โดยบริษัทประเมินรายได้จากงานดังกล่าวราว 1 พันล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ภายในระยะเวลา 3 ปี
"แนวโน้มรายได้ของเราปีนี้คงจะทลุเป้าหมายอย่างแน่นอนเพราะครึ่งปีเราก็ทำรายได้แล้วกว่า 600 ล้าน และในครึ่งปีหลังเรามีงานอยู่ในมือที่รอรับรู้ฯแล้ว ในขณะเดียวกันก็จะยังมีงานใหม่ๆเข้ามาช่วงครึ่งปีหลังอีก"นายนิติธร กล่าว
นายนิติธร กล่าวต่อว่า บริษัทมีเป้าหมายจะรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ให้อยู่ในระดับ 8-9% จากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทำได้แล้ว 8% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 5% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ค่อนข้างดี รวมถึงได้รับงานที่มีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงขึ้น โดยเฉพาะงานซ่อมบำรุงรถขนส่งที่มีอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 40%
สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้านี้นั้น นายนิติธร มองว่า เป็นผลมาจากการเข้ามาซื้อของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน หลังจากที่บริษัทได้พบนักลงทุนสถาบันในงานไทยแลนด์ โฟกัส เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางธุรกิจของบริษัท ทำให้หลายกองทุนให้ความสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนในประเทศ "เราไม่มั่นใจว่าที่ราคาหุ้นขึ้นมาแรงเป็นผลมาจากอะไร แต่จากที่เรานั่งดูมีเป็นล็อตใหญ่ๆ เข้ามา เรามองว่าคงเป็นผลมาจากที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจในหุ้นเรา หลังจากที่เราได้เข้าไปให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันในสัปดาห์ก่อนในงานไทยแลนด์ โฟกัส"นายนิติธร กล่าว