สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในขณะนี้นั้น นายธีรนันท์ กล่าวว่า หากธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างที่ตลาดฯ คาดการณ์ก็ไม่น่าจะกระทบต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยมีเสถียรภาพ มีเงินทุนไหลเข้าและออกอย่างสมดุล ประกอบกับทางการไทยดูแลระดับปริมาณเงินได้ดีด้วย
"ข่าวที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ยุโรปจะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจประเทศใหญ่ๆของยุโรป คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอิตาลี ชะลอตัวค่อนข้างมาก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ ECB จะต้องอัดฉีดเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยยุโรปต่ำก็มากแล้ว จึงเชื่อว่าคงใช้มาตรการทางด้านดอกเบี้ยไม่ได้ แต่ว่ามาตรการดังกล่าวก็เหมือนดาบสองคม ที่ไม่สามารถทำตลอดได้ ดังนั้นความท้าทายคงอยู่ที่เวลาถึงจุดที่ต้องหยุดจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะสมดุล"นายธีรนันท์ กล่าว
ส่วนการที่สหรัฐฯจะยุติการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการ QE นั้น อาจกระทบกับเงินทุนเคลื่อนย้ายบ้าง แต่ก็ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งพอในการรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้กว่า 2% อย่างแน่นอน โดยเฉพาะไตรมาส 4/57 คาดว่าจะเติบโตถึง 3-4%
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐจากรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ ส่วนนโยบายที่อยากเสนอให้ภาครัฐพิจารณา คือ การทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอินโดจีนอย่างแท้จริง เพื่อผลักดันให้การค้าการลงทุนเติบโตได้ต่อเนื่อง และให้มีการปรับอัตราภาษีจูงใจการลงทุนทั้งบริษัทในประเทศและต่างประเทศ