ส่วนการดำเนินการโครงการการร่วมทุนกับบริษัท Sebigas(S.p.A)ผู้นำด้าน Bio-gas จากประเทศอิตาลี ภายใต้“Sebigas UAC"นั้น บริษัทคาดว่างานออกแบบและก่อสร้างโรงงานแห่งแรกจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 4/57 จากงานทั้งหมดที่ได้รับมา 4 โครงการ มูลค่ารวมราว 600 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จครบทุกโครงการในปี 58
สำหรับโครงการก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง(CBG)นั้น บริษัทยังคงเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 7 โครงการ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่จะเปิดให้ครบ 21 แห่งภายในปี 58 โดยปัจจุบันเปิดโครงการที่เชียงใหม่ไปแล้ว 3 แห่ง ลำปาง 2 แห่ง และขอนแก่น 2 แห่ง
ขณะที่โครงการโซลารูฟท็อป 3 โครงการนั้น บริษัทได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ให้กับการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ไปแล้ว 1 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการ คาดว่าจะจำหน่ายไฟฟ้าได้ในเดือน ต.ค.และ ธ.ค.57 และคาดว่าจะทำรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 8 ล้านบาทต่อปี
นายชัชพล กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์รายได้ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานทางเลือกประมาณ 15% ของรายได้รวม ส่วนอีก 85% มาจากธุรกิจเทรดดิ้ง และคาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้ารายได้จากพลังงานทดแทนกับเทรดดิ้งจะมีสัดส่วนเท่าๆกัน คือ 50:50 ขณะที่รายได้รวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000-2,500 ล้านบาท จากปี 56 ที่มีรายได้ 1,067 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ราว 8% จากปีก่อนที่ทำได้ 12.29% เนื่องจากบริษัทฯมีการรับรู้รายได้จากโครงการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) จึงต้องมีการหักค่าเสื่อมออกไปประมาณ 30 ล้านบาท ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวลดลง
"ปีนี้อัตรากำไรสุทธิของเราคงจะลดลงจากการหักค่าเสื่อม แต่หากไปมองที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ยังจะเห็นว่าปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งหากมองดูจริงๆแล้วเรากระทบแค่ทางบัญชีแต่หากมาดูในตัวเงินก็ยังถือว่าปีนี้ปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดี"นายชัชพล กล่าว