สำหรับผลการดำเนินงานของ SALEE นั้น ในปีนี้ยังเชื่อว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดว่ารายได้จะเติบโตราว 25-30% มาที่ 1.25-1.3 พันล้านบาท และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ไม่ต่ำกว่า 30% หลังจากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 31.90%
นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ SALEE เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการตั้งโรงงานในพม่าและเวียดนาม หลังจากได้ส่งสินค้าเข้าไปทดลองตลาดบ้างแล้ว โดยมองความเป็นไปได้ของการเข้าไปลงทุนในพม่าก่อน คาดว่าจะสามารถสรุปแผนการลงทุนได้ในปี 58 ซึ่งบริษัทจะหาพันธมิตรท้องถิ่น (local partner)เข้ามาร่วมลงทุน โดยมีบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
"ตอนนี้เราก็ยังศึกษาอยู่ว่าเราจะเข้าไปลงทุนประเทศไหน แต่เรามองความเป็นไปได้ที่ประเทศแรกคือ พม่า เพราะเวียดนามค่าเงินผันผวนค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้เราก็ยังสรุปอะไรไม่ได้ ซึ่งเราคงจะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้า การเข้าไปเราก็คงจะเป็นการเช่าโรงงานและเอาเครื่องจักรเก่าในไทยไปเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง เบื้องต้นเองเราคงจะใช้งบลงทุนเป็นเพียงแค่หลัก 10 ล้านเท่านั้น"นายสุพจน์ กล่าว
สำหรับการนำบริษัท สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด(SLP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทฯคาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ในช่วง 1-2 เดือน และจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในไตรมาส 1/58
นายสุพจน์ กล่าวถึงผลประกอบการของ SALEE ในปีนี้ว่า บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 25-30% หรือมีรายได้ราว 1.25-1.30 พันล้านบาท ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อเข้ามาใกล้กับช่วงปกติแล้ว ขณะเดียวกันโรงงานฉีดพลาสติกแห่งใหม่ก็ได้มีการซื้อครื่องจักรเข้ามาแล้ว 19 เครื่อง ทำให้มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นด้วย และบริษัทฯจะมีการซื้อเครื่องจักรเข้ามาและจะครบ 40 เครื่องในช่วงกลางปี 58 ซึ่งจะทำให้รายได้เติบโตได้เท่าตัว จากปัจจุบันอยู่ที่ 40 ล้านบาท/เดือน ซึ่งหากมีเครื่องครบทั้งหมดจะมีรายได้เติบโตเท่าตัวหรือราว 80 ล้านบาท/เดือน
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นบริษัทตั้งเป้าจะรักษาให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 30% หลังจากช่วงครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำได้แล้ว 31.90% โดยช่วงที่เหลือของปีเชื่อว่ายอดขายจะค่อยๆ กลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ จะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นตามยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
"เรายังมั่นใจว่ารายได้ของเราจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย เพราะหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น เราก็เริ่มมียอดคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในอุตสาหกรรมรถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่กลับมาเท่าในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เรามองว่าคงจะดีขึ้นเรื่อยๆและกลับเข้าไปอยู่ในระดบปกติและจะเติบโตขึ้นไป ซึ่งยอดขายที่เติบโตขึ้นก็จะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของเราเพิ่มขึ้นด้วย เราจึงยังมั่นใจว่าปีนี้จะรักษาให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 30% ได้"นายสุพจน์ กล่าว