สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย( 3 ก.ย. 57) มีมูลค่าการซื้อขายรวม 63,926 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 49,015 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 76.7% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 7,314 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 11.4% ทางด้านหุ้นกู้เอกชนมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 2,624 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB15DA และ LB236A (รุ่นอายุ 4.8 ปี, 1.3 ปี และ 8.8 ปี ตามลำดับ)โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 4,504 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้านหุ้นกู้เอกชนรุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย)จำกัด (TLT155A) มูลค่า 749.9 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด(MPSC21OA) มูลค่า 497.0 ล้านบาท
3. หุ้นกู้มีประกันของบริษัทโตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย)จำกัด(TLT158A) มูลค่า 383.1 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 1,630.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.1% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 20,863 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 908 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,142 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.01% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.07% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในตราสารอายุ 5-20 ปี ประมาณ 1 bp. ในทิศทางเดียวกับ US Treasury โดยผลการประมูลพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อายุ 15 ปี ได้รับความสนใจจากนักลงทุน 1.57 เท่าของวงเงินประมูล นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) วันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆออกมา สำหรับนักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ(NET BUY) เท่ากับ 1,142 ล้านบาท