ทั้งนี้ JAS ประเมินว่า หากศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมา จุดแรกคือกระทบต่อการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure Fund)ที่บริษัทมีแผนจะนำสินทรัพย์ของ TTTBB ขายเป็นสินทรัพย์จัดตั้งกองทุนดังกล่าว มูลค่าเบื้องต้นราว 5-7 หมื่นล้านบาท เพราะจะทำให้แผนการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าจะมีคำพิพากษาเป็นที่สุด
"พรุ่งนี้ก็ต้องรอคำสั่งศาลว่าจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ ซึ่งจริงๆแล้วถ้ามีคำสั่งคุ้มครองก็จะไปกระทบกับการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทเรามากที่สุด เพราะเราต้องหยุดพักไปก่อน แต่ตัวเลขมูลค่ากองทุนฯ ยังไม่แน่นอน เพราะเรื่องอยู่ที่ ก.ล.ต.เรานำสินทรัพย์ของ TTTBB ไปจัดตั้ง ถ้ามีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวออกมาก็ยังดำเนินการใดๆไม่ได้"
นอกจากนั้น ยังอาจจะกระทบในด้านของการรับรู้รายได้ของ JAS หากศาลมีคำสั่งคุ้มครองไปถึงรายได้ของ TTTBB ซึ่งมีผลต่อรายได้รวมของ JAS ค่อนข้างมาก เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนรายได้จาก TTTBB อยู่ที่ 80% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก จึงมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากคำสั่งของศาลยังให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จาก TTTBB ได้ตามปกติ ก็จะไม่กระทบเท่าใดนัก
หรือหากอีกกรณีหนึ่งคือ หากศาลยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ก็จะเป็นผลดีต่อบริษัทมากที่สุด เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ตามแผนงานโดยไม่หยุดชะงัก และบริษัทก็ยังสามารถรับรู้รายได้จาก TTTBB ตามปกติ
"เรามีรายได้จาก TTTBB ในสัดส่วน 80% ถ้าไม่สามารถรับรู้รายได้จาก TTTBB ได้ ก็กระทบทั้ง 2 ด้านทั้งรายได้บริษัทและการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่หากศาลยกคำร้องทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ ต้องรอดูพรุ่งนี้อีกที จริงๆแล้วการฟ้องร้องของ TT&T เป็นการให้ ACU ขายหุ้นของ TTTBB ให้ผู้ถือหุ้นของ TT&T ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร และสัญญาที่เคยทำไว้กับ TT&T ก็หมดอายุไปนานแล้ว ทำไมเพิ่งมายื่นฟ้อง"แหล่งข่าวจาก JAS กล่าว