บลจ.กสิกรไทย เสิร์ฟ 4 กองทุนตราสารหนี้ 9-15 ก.ย.ชูผลตอบแทนสูงสุด 3%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 8, 2014 17:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 9-15 ก.ย.57 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขาย 4 กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เอ็กซ์(KEFF1YX) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี, กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอเค (KEFF6MAK) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีเอส (KFI3MES) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.30% ต่อปี

ส่วนผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลักมีกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีดับบลิว (KPPTF3MDW) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.00% ต่อปี

นายนาวิน กล่าวว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น จากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินที่เข้มข้มขึ้น โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของธนาคารกลางยุโรป เหลือ 0.05% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ -0.20% ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อของกลุ่มยูโรโซน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำที่ 0.3% และจะช่วยประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมองว่าในปีนี้ น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 1% และคาดว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่ภาคธุรกิจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยการฟื้นตัวของการใช้จ่าย การบรรเทาภาวะการว่างงาน และช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อต่ำลงไปบางส่วน นอกจากนี้ยังส่งดีต่อตลาดหุ้นยุโรปให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์ตลาดการเงินไทยอาจจะได้รับผลกระทบบางส่วนจากความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนโลก คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากสภาพคล่องเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจทำให้เกิดกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจในตลาดประเทศเกิดใหม่ที่มีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้แม้ทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง จะยังได้รับปัจจัยบวกจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ หุ้น น้ำมัน จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนดังกล่าว โดยการจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนกับกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ แต่ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจด้วย

ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF1YX จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Bank of China เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิลและตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี ด้านกองทุน KEFF6MAK จะลงทุนในเงินฝากของ China Construction Bank Corporation เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Isbank ตราสารหนี้ VakifBank, ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล

ทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท

ขณะที่ กองทุน KFI3MES เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ ธนาคารธนชาต และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท

นอกจากนี้เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวยังเปิดเสนอขายกองทุน KPPTF3MDW เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารภายในประเทศ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.00% ต่อปี ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ