ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งภายในปีนี้จะรับรู้รายได้จากงานรับเหมาราว 3.2 พันล้านบาท และงานผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็กอีก 300 ล้านบาท และบริษัทคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะยังคงมี backlog ราว 4.0-4.5 พันล้านบาท โดยเตรียมเข้าประมูลงานก่อสร้างและปรับปรุงด้านวิศวกรรมไฟฟ้ามูลค่า 9.4 พันล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานราว 1-1.5 พันล้านบาท
ประกอบกับ บริษัทคาดว่าจะได้รับงานโครงการด้านพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น หลังจาก คสช.มีนโยบายสนับสนุนโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟท็อป โดยภาครัฐจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จากโครงการที่ค้างดำเนินการ 576 เมกกะวัตต์ โซล่าร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานและสหกรณ์การเกษตร 800 เมกกะวัตต์ โซล่าร์รูฟท็อป 69 เมกกะวัตต์ รวมประมาณ 1.4 พันเมกกะวัตต์ บริษัทคาดว่าจะได้รับงานไม่ต่ำกว่า 10-15% ของมูลค่าลงทุนโครงการทั้งหมดราวา 8.6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่างานที่บริษัทคาดหวังไว้ราว 8,000-10,000 ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วง 6-12 เดือน ข้างหน้าบริษัทจะมีการพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งได้ร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องจักรระบบผลิตไฟฟ้าจากเศษวัสดุ Waste to Energy โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มนำเสนอเทคโนโลยีให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งขยะแล้ว 5 ราย อยู่ระหว่างออกแบบโครงการเพื่อประเมินมูลค่าการลงทุน โดย 1 ใน 2 รายอยู่ระหว่างศึกษาโครงสร้างการลงทุน รวมถึงเจรจาหาแหล่งเงินกู้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ และเริ่มก่อสร้างในปี 58
"โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ มูลค่าลงทุนราว 1.5-1.7 พันล้านบาทคาดว่าจะสรุปการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ ได้ภายในปลายปีนี่ โดยบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 25% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าศึกษารายละเอียดการลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะตั้งโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคในประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุด DEMCO ได้จัดตั้ง บริษัท เด็มโก้ เดอร์ลาว ขึ้น คาดว่าประมาณปลายไตรมาส 3/57 จะมีความชัดเจนในการลงทุนระบบสาธารณูปโภคในประเทศลาว ลักษณะของโครงการจะสร้างรายได้สม่ำเสมอให้บริษัทในรูปแบบเดียวกับโรงไฟฟ้า
"จากแนวโน้มการขยายตัวจากงานด้านพลังงานทดแทน การขยายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าด้วยขยะ รวมถึงการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศล้วนสร้างความมั่นใจที่จะส่งผลให้บริษัทเติบโตได้ในระยะยาว"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว