อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่ากำไรจากการดำเนินงานในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 420 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ยังคงเติบโตขึ้น แม้ว่าบริษัทจะปรับลดเป้าหมายการเติบโตลงเหลือ 10% จากเดิมอยู่ที่ 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.61 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาการขนส่งสินค้าให้กับลูกค้าล่าช้า และขาดแคลนแรงงานในการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ จึงทำให้รับรู้รายได้ช้ากว่าคาด
ประกอบกับ ช่วงครึ่งปีแรกมีสถานการณ์การเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของลูกค้า ทำให้ยอดขายลดลงเล็กน้อย แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากการเมืองกลับสู่ภาวะปกติ
“เรามีพนักงานที่ใช้สำหรับขนส่งเพียงพอ แต่ก็ยังมีการขนส่งล่าช้า ซึ่งเป็นปัญหาของเราที่ต้องหาทางแก้ไข และพนักงานที่ให้บริการติดตั้งเราก็มีไม่พอ ทำให้เวลาส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าและการติดตั้งสินค้าล่าช้า ส่งผลต่อการรับรู้รายได้ของเรา ตอนนี้ก็พยายามหาทางแก้ไขอยู่ ส่วนการผลิตสินค้าของเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เราใช้กำลังการผลิตตอนนี้ที่ 90% ส่วนสินค้าที่เรามีการซื้อมา-ขายไปมีสัดส่วนอยู่ที่ 30%"นายทักษะ กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ(Backlog) คิดเป็นมูลค่า 3.1 พันล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 60% และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 59-60
นายทักษะ กล่าวอีกว่า บริษัทมองโอกาสขยายตลาดต่างประเทศด้วยการเข้าไปซื้อหุ้น IPO ในกิจการของพันธมิตรท้องถิ่นในมาเลเซีย ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน ซึ่งมีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในวันที่ 24 ก.ย.57 โดยบริษัทเข้าไปถือหุ้น 5% กำหนดชำระเงินในสัปดาห์หน้าไม่เกิน 60 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อลดจำนวนคู่แข่งต่างประเทศที่จะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในไทย และสร้างโอกาสการขยายตลาดต่างประเทศ
นอกจากนั้น บริษัทยังเข้าร่วมทุนกับบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงานของญี่ปุ่น โดยตั้งชื่อบริษัท ITOKI MODERNFORM โดยบริษัทเข้าไปถือหุ้น 49% และอีก 51% เป็นของพันธมิตรญี่ปุ่น ทั้งนี้เพื่อเจาะกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย และจะขยายตลาดไปยังประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มเข้าไปรุกตลาดพม่าภายในปี 58 แต่ขณะนี้ยังมีอุปสรรคทางข้อกฏหมายที่บริษัทต้องทำการศึกษาก่อน
“เรามองว่าการได้พันธมิตรเป็นสิ่งที่ดีต่อเรา และญี่ปุ่นเราเข้าไปถือหุ้น 49% ตั้งบริษัทว่า ITOKI MODERNFORM เพื่อเข้ามาเจาะตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย ที่มีสัดส่วนค่อนข้างมาก และสร้างแบรนด์ให้ดูมีความน่าเชื่อถือและยิ่งใหญ่ ซึ่งดีกว่าเราไปคนเดียว เรามองว่าการไปรุกตลาด AEC กับญี่ปุ่นดูมีความน่าสนใจมากกว่า เราคาดว่าปีหน้าจะไปพม่าที่แรก แต่ยังติดข้อกฏหมายบางอย่างอยู่ เราเห็นตลาดต่างประเทศเป็นโอกาสและช่องทางหนึ่งที่ค่อนข้างดี"นายทักษะ กล่าว