ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมประมาณ 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นงานที่มาจากธุรกิจเทรดดิ้งประมาณ 900 ล้านบาท
แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทนับต่อจากนี้ เชื่อว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานด้านโทรคมนาคมและงานเทรดดิ้ง โดยธุรกิจหลักของบริษัทยังคงเป็นงานโทรคมนาคม ซึ่งสิ่งที่ CSS จะต้องเร่งทำ คือ การเพิ่มบุคลากร เพื่อรองรับกับงานโทรคมนาคม อีกทั้งมองหาช่องทางในการสร้างรายได้ในอนาคตให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปได้อย่างยั่งยืน
ส่วนทิศทางอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือยังเดินหน้าขยายการลงทุนโครงข่าย 3G และ 4G จึงส่งผลทำให้ธุรกิจของบริษัทที่อิงกับการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม สามารถขยายตัวตามไปได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่1/2557 มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 350,000,000 บาท เป็น 490,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 280,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทรุ่นที่1 (CSS-W1) จำนวน 280,000,000 หน่วย ซึ่งได้จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น ในอัตราส่วน 2.5 หุ้นสามัญเดิมต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย โดยไม่คิดมูลค่า โดยกำหนดราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิเท่ากับ 1.50 บาทต่อหุ้น อายุ 1.5 ปี
บริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกในครั้งนี้ ในวันที่ 30 กันยายน 2557 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 1 ตลาคม 2557 ซึ่งการใช้สิทธิครั้งแรกจะตรงกับวันที่ 30 ธันวาคม 2557 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายจะตรงกับวันที่ใบสำคัญแสดงสิทธิมีอายุครบ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 31 มีนาคม 2559 และในกรณีที่วันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายตรงกับวันหยุดทำการของบริษัทให้เลื่อนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายเป็นวันทำการสุดท้ายของบริษัทก่อนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย โดยระยะเวลาแสดงความจำนงในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายจะต้องไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันใช้สิทธิดังกล่าว
จากการที่ผู้ถือหุ้นลงมติเป็นเอกฉันอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อรองรับ CSS-W1 ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ถือหุ้นมองเห็นอนาคตของบริษัทที่ยังขยายตัวได้อีกมาก อีกทั้งเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้า จะช่วยเพิ่มกระแสเงินสด ขยายฐานทุนโครงสร้างเงินทุนเพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นและช่วยเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ในระยะยาวได้อีกด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนในการสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องให้กับบริษัทในอนาคต