"ตอนนี้ตลาดโตขึ้นมาก หลังจากไตรมาส 2 ที่ถือว่าแย่ที่สุดผ่านไปแล้ว แต่เราก็ไม่ได้หยุดการผลิต ยังต้องเดินเครื่องเต็มที่ ทำให้ช่วงที่ผ่านมามีสต็อกสูง แต่ตอนนี้ลดลงเหลือแค่ 7 วันแล้ว จากระดับปกติที่เคยอยู่ในระดับ 3-4 วัน ผมมองว่าปีหน้าการก่อสร้างจะโตอีกมาก โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ"นายประทีป กล่าว
ส่วนในปี 59 บริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่ของอิฐมวลเบาเพิ่มเข้ามาจากแผนปรับปรุงโรงงานและเพิ่มเครื่องจักรขยายการผลิตเป็น 6 ล้านตารางเมตร/ปี จากเดิม 4.5 ล้านตารางเมตร/ปีที่จะแล้วเสร็จราวปลายปี 58 ภายใต้วงเงินลงทุนราว 150 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรองรับการเติบโตของตลาดที่แต่ละปีมีการสร้างผนังราว 300 ล้านตารางเมตร แต่กำลังผลิตรวมของอิฐมวลเบาของผู้ผลิตในประเทศขณะนี้มีเพียง 36 ล้านตารางเมตร/ปี
นายประทีป กล่าวว่า บริษัทมั่นใจในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดอิฐมวลเบา ซึ่งเมื่อเทียบจากกำลังการผลิตบริษัทอยู่ในอันดับ 3 เนื่องจากบริษัทได้เปรียบทางด้านต้นทุน โดยสามารถสั่งซื้อวัตถุดิบปูนร่วมกับ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี(CCP) ทำให้ต่อรองราคาได้ดีกว่ารายอื่น ขณะที่ต้นทุนด้านพลังงานลดลงจากในอดีตมาก หลังจากปรับมาใช้พลังงานชีวภาพ คือ กะลาปาล์ม จากเดิมที่เคยใช้น้ำมันเตาและปรับมาเป็นก๊าซ LPG ขณะที่การควบคุมความชำรุดเสียหายของสินค้าในกระบวนการผลิตและการขนส่งปัจจุบันอยู่ในอัตราต่ำเพียง 3% จากที่เคยสูงถึง 20% ในปี 52
บริษัทมีความพร้อมที่จะเปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 15 ล้านหุ้น ในราคา 1.90 บาท/หุ้น โดยเสนอขาย Pre-emptive Right ไม่เกิน 46 ล้านหุ้น ช่วง 17-20 ก.ย. หลังจากนั้นจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อ 69 ล้านหุ้นในช่วง 22-24 ก.ย.นี้ และคาดว่าจะหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) วันที่ 2 ต.ค.57
นายประทีป ยังเปิดเผยในฐานะประธานกรรมการ CCP ว่า บริษัทเตรียมศึกษาการตั้งโรงงานใหม่ในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งพิจารณาอยู่ 2 ทำเลทั้งอีสานเหนือและอีสานตอนใต้ โดยอาจจะลงทุนในช่วงอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าทั้งในประเทศ และรวมไปถึงการทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจังมากขึ้น หลังจากที่ได้ส่งสินค้าไปขายบ้างแล้ว แต่ยังมีปริมาณไม่มาก