ทั้งนี้ SET Index ตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมามีแนวโน้มเชิงบวกมากขึ้น แม้ว่าจะมีกำหนดระยะเวลาในการบริหารและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ได้ภายใน 1 ปี โดยดัชนีปรับตัวขึ้นมาจากระดับต่ำสุดในวันที่ 23 พ.ค.57 ที่ระดับ 1,375 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
“ตอนนี้ ทางบล.โกลเบล็ก ยังคงประมาณการดัชนีไว้ที่ระดับเดิมที่ 1,650-1,651 จุด แต่คาดหลังจากที่มีการประกาศงบผลประกอบการไตรมาส 3/57 ทางบล.โกลเบล็ก มีโอกาสที่จะปรับเป้าดัชนีภายในปีนี้ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากมองว่าผลจากผลประกอบการบางบริษัท มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล จะส่งผลเชิงบวกโดยรวมมากขึ้น"นายธวัชชัย กล่าว
นายธวัชชัย กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลและการวางทีมเศรษฐกิจที่ชัดเจน ประกอบกับนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงการอนุมัติแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ อีกทั้งยังมีประเด็นการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในช่วงปลายปี 58 ถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมจะกลับเข้ามาลงทุนกับตลาดหุ้นไทย โดยเป็นการสะท้อนผ่านยอดการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นที่มีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น
“จากความพยายามขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาล เพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น และการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเปิดซองประมูลโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่างๆ เม็ดเงินลงทุนจากกองทุน RMF และ LTF บวกกับการคาดการตัวเลข GDP ในไตรมาส 3และ 4 จะดีขึ้น และคาดว่าในช่วงเดือนตุลาคมปีหน้า คาดว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ได้ถือเป็นปัจจัยบวก สร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย" นายธวัชชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้นทาง บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุน โดยให้กรอบสัญญาทางเทคนิค แนวรับที่ระดับ 1,551 - 1,542 และ 1,521 จุด ตามลำดับ โดยแนะเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เนื่องจากโรดแมพของรัฐบาลชุดใหม่ จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ และปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ซึ่งจะเริ่มต้นวันที่ 1 ต.ค.57
พร้อมแนะนำหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ จากโครงการที่จะได้รับประโยชน์จากการผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังแนะลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ จากการที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 มีการจัดสรรให้กับ กระทรวงศึกษาธิการมากที่สุด ดังนั้น หุ้นที่ได้ประโยชน์น่าจะเป็นหุ้นที่ทำในเรื่องการวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มค้าปลีก ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นรายได้จากภาคผู้บริโภค
และสุดท้าย คือ กลุ่มท่องเที่ยว ที่ได้รับประโยชน์หากมีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงไฮซีซั่น