สำหรับแหล่งที่มาของรายได้ KCM ประกอบด้วย รายได้จากการขายสินค้าและรายได้จากการบริการ แบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบสังกะสีและอลูมิเนียม และกลุ่มผลิตภัณฑ์โครงสร้างเหล็กกล้าสำเร็จรูป โดยรายได้จากการบริการเริ่มมีเข้ามาตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการเพิ่มกลุ่มรายได้จากฐานลูกค้าเดิม และใช้เป็นกลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ให้ตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นนอกเหนือจากการมีผลิตภัณฑ์หลากหลายควบคู่กับการบริการแบบครบวงจร
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้นมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาจากงบการเงินงวดบัญชีปี 2554-2556 มีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นจาก 718.15 ล้านบาท เป็น 806.78 ล้านบาท และ 821.86 ล้านบาทตามลำดับ ขณะเดียวกันยังมีกำไรสุทธิต่อเนื่องทุกปีมาโดยตลอด (2554-2556) บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 58.18 ล้านบาท 46.91 ล้านบาท และ 42.07 ล้านบาทตามลำดับ และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 401.53 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 10.77 ล้านบาท
ปัจจุบัน KCM มีสาขา 20 แห่ง กระจายอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น ชัยภูมิ อุดรธานี สกลนคร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระบุรี พิษณุโลก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ฯลฯ ซึ่งในจังหวัดขอนแก่นก็มีถึง 4 สาขาแล้ว ล่าสุดได้ซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อจะทำการเปิดโรงงานแห่งใหม่ มีที่ภูเก็ต ลำปาง แพร่ และเชียงใหม่ โดยที่เชียงใหม่อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างและดำเนินการคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้
นายนิพนธ์ เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ KMC กล่าวว่า สโลแกนของบริษัทคือ “บริการซื่อตรง ไม่โกงความหนา คุณภาพสมราคา" และคือจุดเด่นของบริษัทซึ่งอยู่ที่คุณภาพของสินค้า โดยกล้าที่จะให้ลูกค้าตรวจสอบและพิสูจน์ความหนาของเหล็กได้ตลอดเวลา พร้อมกันนี้สินค้าของบริษัทได้รับ ISO9001 และรับรองมาตรฐานจาก มอก. ที่สำคัญระบบการจัดส่งสินค้าที่มีความรวดเร็ว และสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัว สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ ปัจจุบันมีรถส่งสินค้าจำนวน 50 คัน กระจายอยู่ทั่วประเทศ" นายนิพนธ์กล่าวในที่สุด
ปัจจุบัน KCM มีทุนจดทะเบียน 170.00 ล้านบาท มีทุนชำระแล้วเต็มมูลค่าเท่ากับ 120.00 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 480.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท สำหรับทุนจดทะเบียนส่วนที่เหลือจำนวน 50.00 ล้านบาท บริษัทออกไว้เพื่อรองรับการเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท