ภาพรวมการลงทุนในนิคมฯอมตะ จะเห็นได้ว่าเริ่มมีทิศทางที่สดใสมากขึ้น เห็นได้จากนักลงทุนกลับเข้ามาเจรจาซื้อขายที่ดินในนิคมฯต่อเนื่อง แต่หากมองยอดขายที่ดินในปีนี้ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาซึ่งมียอดขายอยู่ที่ 4,000 ไร่ เพราะในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมามีความไม่นิ่งของการเมืองในประเทศ ทำไห้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการลงทุน แต่มองว่าจะมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/57 เป็นต้นไป และคาดว่าปลายปีนี้ยอดขายที่ดินน่าจะอยู่ที่ 1,000 ไร่
อย่างไรก็ดี ในปี 58 ทุกประเทศจะเข้าสู่เออีซี ซึ่งไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มภูมิภาคดังกล่าวที่มีศักยภาพมีจุดแข็งทางภูมิศาสตร์และเป็นศูนย์กลางที่น่าสนใจสำหรับการค้าการลงทุน และมองว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่ม โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่างเช่น จีน ซึ่งมีเม็ดเงินการลงทุนสูง ซึ่งขณะนี้จีนกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศอาเซียน โดยประเทศที่จีนให้ความสนใจและเตรียมที่จะขยายฐานการผลิตเพิ่ม ก็คือ ไทย เนื่องจากว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ ที่พร้อมรองรับการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการคมนาคม วัตถุดิบ แรงงาน ตลอดจนเรื่องของวัฒนธรรมที่เข้ากับจีนได้ดีกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน
"เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะโอกาสในปีหน้าที่จะมีการเปิดประชาคมอาเซียน มองว่ารัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนผู้ประกอบการควรเสริมศักยภาพในด้านต่างๆของตนเองให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการองค์กร การพัฒนาแรงงานฝีมือ และด้านภาษา เพื่อรับกับการเปิดเสรีทางการค้าและการติดต่อกับต่างชาติที่มากขึ้น"นายวิบูลย์ กล่าว
สำหรับกลุ่มประเทศที่นักลงทุนกำลังจับตามองและให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในขณะนี้เป็นประเทศในแถบเอเชีย เช่น ไทย อินโดนีเซีย ลาว และพม่า รวมไปถึงประเทศที่มีพรมแดนใกล้เคียงกัน อย่างรัสเซียด้วย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีเม็ดเงินการลงทุนสูง และมีนโยบายที่จะขยายการลงทุนด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเพิ่มเช่นเดียวกับจีน
ล่าสุด จีนได้วางงบประมาณสำหรับการลงทุนในต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 1,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งออกเป็น งบประมาณลงทุนในอาเซียน อยู่ที่ 600,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่ผ่านมาจีนได้ใช้งบลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นๆแล้ว จำนวน 400,000 ล้านเหรียญสหรัฐ