สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย ( 1 ต.ค. 57) มีมูลค่าการซื้อขายรวม 94,454 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 61,462 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 65.1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 25,561 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 27.1% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 2,451 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.6% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB21DA และ LB15DA (รุ่นอายุ 4.7 ปี, 7.2 ปี และ 1.2 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 15,740 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้านหุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ด้อยสิทธิ บมจ. ธนาคารกรุงไทย (KTB19OA) มูลค่า 247.2 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)(BJC157A) มูลค่า 203.8 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (MPSC249A) มูลค่า 200.3 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 651.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.6% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 10,449 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,300 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -3,772 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.03% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.94% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02%
Yield Curve ปรับลดลงในตราสารอายุ 3 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-3 bps. จากแรงซื้อของนักลงทุนบางส่วนโดยเฉพาะ บลจ. จากปัจจัยภายในประเทศที่ล่าสุด ก.พาณิชย์ปรับลดเป้าเงินเฟ้อทั้งปีเหลือ 2.14% และ ครม. มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2-3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 58 โดยเน้นการสร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้ผู้ที่มีรายได้น้อย ด้วยการเร่งอัดฉีดงบประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท ประกอบกับ ธปท. ออก รายงานเศรษฐกิจและการเงินประจำเดือนสิงหาคม โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มในเชิงบวก แต่อาจเริ่มชะลอตัวลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง ทำให้มีความเสี่ยงที่ GDP ปีนี้อาจต่ำกว่า 1.5% สำหรับนักลงทุนต่างชาติวันนี้มียอดขายสุทธิ (NET SELL) เท่ากับ 3,772 ล้านบาท